ปัจจุบันนี้เราพูดถึง Smart House กันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่อง Smart Camera, Smart Entertainment, Smart Thermostat ไปจนถึง Smart Light Bulb หรือหลอดไฟอัจฉริยะ
แม้จะฟังดูไกลตัวราวกับหลักล้านปีแสงแบบในหนังไซไฟ แต่แท้จริงแล้วมันเกิดขึ้นแล้ว และจากการไปสำรวจเทคโนโลยีการใช้ชีวิตล่าสุดกับ Dyson แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากอังกฤษที่ก่อตั้งขึ้นโดย เซอร์ เจมส์ ไดสัน เราพบว่าการใช้ชีวิตแบบภาพในอนาคตอยู่อีกไม่ไกล และกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างที่ต้องจับตามอง เห็นได้จาก 3 การพัฒนาใหม่ของ Dyson ที่แค่นึกภาพอีก 10 ปีก็น่าตื่นเต้นตามแล้ว
ชีวิตเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยีภายในบ้าน
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ Dyson ในฐานะเครื่องดูดฝุ่นล้ำ ราคาชวนต้องคิดเยอะ หรือตอนที่ทำเอาผู้หญิงทั้งโลกอึ้งกับไดร์เป่าผมไร้แกน หน้าตาแปลกประหลาด แต่ครั้งนี้แบรนด์ยังเปิดตัวตัวช่วยการใช้ชีวิตให้สะดวกขึ้น ดังนี้
เพื่ออากาศบริสุทธิ์
ขณะที่ในตลาดเอเชียมีหลายแบรนด์ที่ต่างส่งผู้ท้าชิงอัศวินขี่ม้าขาวมาทำหน้าที่ฟอกอากาศอันเป็นปัญหาเรื้อรังในเอเชีย ทั้งแบรนด์อย่าง Daikin, Philips, Sharp ไปจนถึง Xiaomi ส่วน Dyson เปิดตัว Dyson Pure Cool Me เทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศล่าสุดที่มาในขนาดจิ๋ว เหมาะสำหรับการกรองอากาศเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะประชากรในแถบเอเชียที่เผชิญปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กกันเป็นนิจ นี่เป็นการคิดค้นและทดสอบจากทีมงานในแถบสหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย และทดลองผลิตกว่า 2,000 ตัวกว่าจะได้ออกมาสมบูรณ์แบบที่ตัวที่ 2,022
ความน่าสนใจ: นี่เป็นการปรับเทคโนโลยีทางทหารนำมาใช้ในครัวเรือน มีแผ่นคาร์บอนที่คัดกรองฝุ่นละอองได้ 99.95% รวมถึงอนุภาคจิ๋วๆ อย่างเกสรดอกไม้ แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ หรือ PM2.5 PM1.0 และฝุ่นที่เล็กกว่าเส้นผม 300 เท่า รวมถึงแก๊สเก็บกลิ่นและควันต่างๆ (เช่น จากครัวและควันบุหรี่) โดยไม่ปล่อยกลับออกมา นอกจากนั้นยังมีเสียงเบา ไม่รบกวนการนอนหลับ และทำขึ้นมาให้สามารถปรับทิศทางลมเพื่อจ่อบริเวณต่างๆ ในร่างกายได้โดยเฉพาะ ปรับระดับลม เช่น เบาสบาย ไปจนถึงเย็นสดชื่นได้ สามารถนำมาตั้งที่โต๊ะทำงานออฟฟิศ ห้องนอน หรือห้องเด็กได้ ซึ่งจะทำการกรองอากาศไปทั่วห้อง และด้วยขนาดที่ใกล้เคียงกับพัดลมตั้งโต๊ะขนาดเล็ก ทำให้สามารถโยกย้ายไปไหนมาไหนได้สะดวก โดยราคาเปิดตัวอยู่ที่ 13,900 บาท
เพื่อบ้านที่สะอาดยิ่งกว่า
เนื่องด้วยในตลาดเครื่องดูดฝุ่นมีหลากหลายแบรนด์ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านมาช่วยปัดกวาด ทั้งแบบไร้สาย และกระทั่งหุ่นยนต์ทำความสะอาด แต่ถึงจะไม่ใช่แบรนด์ที่ชูโรงเรื่องการออกแบบ แต่เมื่อมาถึงเรื่องกลไกและเครื่องยนต์ Dyson ยังคงเป็นแบรนด์ที่น่าจับตามอง ในงานเปิดตัวครั้งนี้แบรนด์ยังเผยถึงเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นล่าสุด Dyson V11 ที่ทาง เควิน แกรนต์ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ Floorcare เผยว่าพัฒนาโดยวิศวกรกว่า 300 ชีวิต เพื่อให้เหมาะกับสภาพอากาศและชีวิตของคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียที่มีปัญหาฝุ่นละออง โดยพัฒนาให้จัดเก็บฝุ่นละอองด้วยน้ำ ทำให้ไม่ฟุ้งกระจายออกไป
ความน่าสนใจ: เครื่องดูดฝุ่นรุ่นล่าสุดนี้แม้จะไม่เน้นงานการออกแบบและเผยให้เห็นกลไกภายใน แต่กลับชาญฉลาด สามารถเรียนรู้ประเภทพื้นผิวตามโหมดการทำงานได้ ทั้งยังมีจุดเด่นอยู่ตรงแบตเตอรี่ที่วิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าเหลือพลังงานแค่ไหนและเหลือเวลาเท่าไรในการทำความสะอาดผ่านหน้าจอแอลซีดี ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 25,900 บาท
เพื่อแสงสว่างสำหรับทุกช่วงวัย
หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับการเปิดตัวในครั้งนี้หนีไม่พ้น Dyson Lightcycle โคมไฟอัจฉริยะตัวแรกของแบรนด์อังกฤษนี้ โดย วิลเลียม ดาร์วิล หัวหน้าฝ่าย Professional & Lighting ผู้นำทีมคิดค้น บอกกับเราว่าเขาค้นพบว่าแสงสังเคราะห์จากหลอดไฟและหน้าจอต่างๆ ในชีวิตประจำวันส่งผลต่อร่างกายของเรา ทำให้ฮอร์โมน อารมณ์ และนาฬิกาชีวภาพของร่างกายถูกรบกวน แต่น่าสังเกตตรงที่ร่างกายทำปฏิกิริยาที่ดีกว่าเมื่อได้รับแสงแดดตามธรรมชาติ นั่นเป็นต้นแบบความคิดในการปรับแสง ‘สังเคราะห์’ ให้เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด จนออกมาเป็นโคมไฟอัจฉริยะที่สามารถปรับแสงได้ตามช่วงเวลาของวัน ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจากโต๊ะออกแบบโบราณ
ความน่าสนใจ: สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงการใช้งานของหลอดไฟ ซึ่งผู้ใช้สามารถยกแสงธรรมชาตินอกหน้าต่างมาไว้ในบ้านได้! โดยสามารถเลือกตำแหน่งและเวลาบนโลกที่คุณอยู่ แสงก็จะเปลี่ยนเลียนแบบแสงภายนอกบ้าน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ช่วงเวลาของวัน และฤดูกาลด้วย โดยนักพัฒนายังเรียนรู้อีกว่าแสงยามเช้าจะอบอุ่นที่สุดและมีแดดอ่อนๆ ขณะที่ตอนเที่ยงวันแดดจะส่องสว่างและให้โทนสีฟ้ามากที่สุด และช่วงพระอาทิตย์ตกดินแสงจะกลับไปอบอุ่นและเบาสบายตา พร้อมเตรียมส่งเราเข้านอน โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่คุณอยู่บนโลกด้วย ส่งผลให้แสงจากหลอดไฟอัจฉริยะทำการติดตามสภาพแสงภายนอกและปรับไปตามช่วงเวลาโดยอัตโนมัติ อาทิ ขณะคุณอ่านหนังสืออยู่ยามบ่ายแล้วฝนเริ่มตก แสงแดดก็จะปรับความจ้าให้สบายตาขึ้นตามอากาศด้านนอกนั่นเอง
นอกเหนือจากนั้น คลื่นความถี่และการกะพริบของหลอดไฟยังต่ำมากเมื่อเทียบกับหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์และหลอดแอลอีดี ทำให้รบกวนสายตาน้อย และยังสามารถปรับแสงโดยตั้งตามช่วงอายุได้อีกด้วย เนื่องจากกระจกตาของแต่ละช่วงวัยมีความต้องการที่ต่างกัน เช่น คุณป้าอายุ 65 ปี ต้องการแสงมากกว่าหลานในวัย 12 ปี เป็นต้น โคมไฟนี้ปิดได้ด้วยตัวเองจากระบบเซนเซอร์เมื่อไม่มีคนอยู่ใกล้เคียง แถมยังมียูเอสบีให้ชาร์จโทรศัพท์และแล็ปท็อปควบคู่ไปด้วยได้
วิลเลียมยังเผยกลไลการทำงานล้ำๆ อีกอย่างของโคมไฟ นั่นคือเมื่อใช้ไปนานๆ เข้า หลอดไฟมีความร้อนสูง ภายในยังมีระบบปรับความร้อนที่ใช้หยดน้ำเป็นตัวช่วยปรับระดับอุณหภูมิและแสงไฟเพื่อให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานถึง 60 ปี
ในการใช้งานสามารถปรับโหมดได้หลากหลาย เช่น Relax สำหรับยามเย็นที่อยากพักผ่อน, Study ตอนที่อ่านหนังสือหรือนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ และสามารถปรับแสงได้เองตามใจชอบ โคมไฟแบบตั้งโต๊ะนี้มีราคาเปิดตัวที่ 19,900 บาท และ 28,900 บาท สำหรับโคมไฟแบบตั้งพื้น
นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ถูกนำมาใช้ภายในบ้านเพื่อความสะดวกสบาย คล้ายกับภาพส่องอนาคตจากงานเปิดตัวของแบรนด์จากอังกฤษล่าสุดที่ประเทศสิงคโปร์ แต่โฉมหน้าบ้านในอนาคตจะเป็นเหมือนในเรื่อง The Jetsons หรือ Oblivion หรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป
อ่านเรื่อง บ้านแห่งอนาคต หน้าตาเป็นอย่างไร ได้ที่นี่
ภาพ: Courtesy of Dyson
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์