×

ค้นหาตัวตน สิตา CGM48 จากเด็กซนสู่คนที่เข้าใจโลกไม่แพ้ใคร

21.06.2024
  • LOADING...
Sita CGM48

ถึงจะสร้างความตกใจให้แฟนคลับเล็กน้อย (ในวันประกาศเปิดตัวโฟโต้บุ๊ก) แต่เมื่อรับรู้ว่า สิตา ธีรเดชสกุล หรือ ‘สิตา CGM48’ กำลังปล่อยผลงานโฟโต้บุ๊กเล่มแรกในชีวิตของเธออย่าง Last night i dreamed of you ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากแฟนๆ กลับมาอย่างน่าประทับใจ ถึงขั้นที่โฟโต้บุ๊กบางส่วน Sold Out อย่างรวดเร็ว

 

และอีกเช่นเคย THE STANDARD POP ได้โอกาสเปิดบ้านต้อนรับ สิตา CGM48 ที่นอกจากจะมาฝากผลงานโฟโต้บุ๊กสุดพิเศษแล้ว เธอยังได้เล่าเรื่องสนุกๆ จากช่วงเวลาในวัยเด็ก วัยรุ่น ถึงวัยผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสถึงตัวตนของสิตาอย่างแท้จริง ไปจนถึงเปิดเผยความรู้สึกในหัวใจบางอย่างที่เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อน

 

และเพื่อไม่ให้เสียเวลา…เรามาคุยกับเธอไปพร้อมๆ กันเลย 

 

ชีวิตวัยเด็กของสิตาเป็นแบบไหน

 

หนูโตที่จังหวัดแพร่ ในความรู้สึกหนูคิดว่าโลกในวัยนั้นมันมีอยู่แค่นั้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเก่งที่สุดแล้วในช่วงเวลานั้น แต่ว่าไม่ชอบทำกิจกรรมค่ะ แล้วก็ไม่ชอบงานแสดงบนเวที ไม่ชอบเลย แต่ยายของสิตาจะชอบให้ไปประกวดนางนพมาศ ไปขึ้นเวทีประกวดชุดซานตี้-ซานต้าในงานคริสต์มาสของโรงเรียน จำได้ว่าไม่ชอบ แต่ทำให้ยายได้ 

 

ความฝันในช่วงนั้น…อยากเติบโตไปเป็นอะไร

 

ตอนเด็กๆ หนูอยากเป็นแอร์โฮสเตสหรือไม่ก็นางแบบค่ะ เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากการดูสื่อทีวี เพราะว่าเป็นเด็กที่โตมากับการนั่งหน้าจอทีวี เลยมีความรู้สึกอยากเป็นแบบที่คนในจอทีวีเขาเป็นกัน

 

ย้อนรอยวีรกรรมวัยเด็กที่หลายคนอาจยังไม่รู้

 

วีรกรรมนี้เกิดขึ้นในช่วงวันคริสต์มาสของโรงเรียน อยู่ๆ หนูก็โดนใส่ชื่อให้ไปแสดงบนเวทีในงานคริสต์มาส แต่หนูไม่อยากขึ้นเวทีเลย แล้วเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่หนูติดเพื่อนใหม่คนหนึ่ง แล้วเพื่อนก็ชวนโดดงานในวัยประถมต้น แล้วก็พากันไปหลังโรงเรียน ไปแบบที่ยังใส่ชุดฟูๆ ซึ่งคนก็เห็นกันทั้งโรงเรียน (หัวเราะ) 

 

แต่เราก็ไม่ได้ไปไหนไกลนะ แค่ไปอยู่หลังโรงเรียน ไปนั่งเล่นดูพื้นหญ้า ไปทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ขึ้นเวทีในงานคริสต์มาส พอกลับบ้านมาก็โดนยายดุตามสเต็ป เพราะไม่ขึ้นเวที 

 

 

ขยับขึ้นมาช่วงมัธยม สิตายังเป็นเด็กแสนซนคนเดิมอยู่ไหม

 

ช่วงมัธยมหนูมาอยู่โรงเรียนประจำ เป็นโรงเรียนหญิงล้วน ไม่ได้เล่นมือถือ แล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก เพราะหนูจะต้องอยู่โรงเรียนตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ชีวิตส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ อ่านนิยาย ถือเป็นช่วงแรกที่เริ่มอ่านหนังสือแบบจริงจัง แต่ก็ยังคงเป็นสิตาคนเดิมที่ไม่ชอบการทำกิจกรรมของโรงเรียน ไม่ใช่เด็กกิจกรรม 

 

ส่วนหนังสือที่หนูอ่าน หนูอ่านแบบครอบจักรวาลมาก ในช่วงเวลานั้นคือมีอะไรให้อ่านก็อ่านได้หมดเลย แต่ถ้าในปัจจุบันหนูเริ่มหันมาอ่านหนังสือแนวจิตวิทยา แล้วก็ติดนิยายจีนที่เป็นเล่มๆ มีภาคต่อเยอะๆ เรียกว่าอ่านได้หมดเลย

 

กลายเป็นคนที่เสพติดการอ่าน?

 

ด้วยความที่ตอนอยู่แพร่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ยายก็จะพาเราไปอยู่ตรงโซนหนังสือ เราก็จะไปนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนตามโซนต่างๆ พอยายมารับก็ค่อยซื้อกลับไปอ่านต่อที่บ้าน จำได้ว่ามีหนังสือเยอะมากในวัยเด็ก เพราะความบันเทิงของเด็กต่างจังหวัดในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นทีวีหรือไม่ก็หนังสือ

 

เล่าวีรกรรมในช่วงมัธยมจากรั้วโรงเรียนประจำ

 

โห…วีรกรรมเยอะมาก (หัวเราะ) จำได้ว่าตอนมัธยมปีแรกที่เข้าไปในโรงเรียนประจำเราจะยังไม่ค่อยซ่า เพราะว่าเรายังเป็นเด็กใหม่ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนขยับขึ้นมาอยู่ ม.2 เริ่มเจอเพื่อนที่ใช่ ไปด้วยกันได้ แล้ววีรกรรมส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในช่วงกลางดึก เพราะโรงเรียนประจำนักเรียนต้องนอนรวมกัน พอถึงเวลาต้องนอนเขาก็จะปิดไฟแล้วมีครูมาเช็กนักเรียนว่าใครอยู่หรือไม่อยู่ที่เตียงบ้าง ถ้าเขาเห็นว่าใครไม่อยู่ที่เตียงเขาก็จะจดชื่อไป เพราะที่เตียงมันจะมีชื่อของแต่ละคนอยู่ แล้วตอนเช้าครูก็จะเรียกไปคุย 

 

สิ่งที่เราจะทำกันในช่วงเวลานั้นก็คือการปั้นผ้านวมผืนใหญ่ให้ดูเหมือนคนแล้ววางไว้ที่เตียงแทนตัวเรา แล้วก็ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ไปนั่งเมาท์มอย ตั้งวงกินขนมยามดึกตามระเบียง คือทำอะไรก็ได้ที่ยังไม่นอน เพราะยังไม่ง่วง เป็นวัยที่รู้ตัวเองอยู่ว่าดื้อพอสมควรเลย ยิ่งมาอยู่โรงเรียนประจำรู้สึกจะยิ่งดื้อกว่าเดิม (หัวเราะ)

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต อะไรคือแรงผลักให้เด็กไม่ชอบกิจกรรมตัดสินใจเข้ามาอยู่ CGM48

 

ช่วงที่เข้ามาสมัครอยู่กับวง CGM48 เป็นคาบเกี่ยวที่หนูเรียนอยู่ ม.4 ก่อนหน้านั้นหนูซิ่วไป 1 ปีเพราะอยู่โรงเรียนประจำ ช่วงนั้นมีความรู้สึก Burnout อยู่นิดหนึ่ง เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากอยู่ในกรอบแล้ว ก็เลยออกมาทำนู่นทำนี่อยู่ปีหนึ่ง แล้วก็กลับมาเข้าเรียน ม.4 ใหม่อีกครั้งหนึ่งที่โรงเรียนใหม่ แล้วถึงจะสมัครเข้ามาอยู่กับ CGM48 

 

ที่บ้านหนูเขามีภาพชัดเจนว่าอยากให้ลูกคนหนึ่งทำงานในวงการบันเทิง แล้วอีกคนหนึ่งเป็นหมอ ซึ่งทางบ้านอยากให้หนูเข้ามาเป็น BNK48 ตั้งแต่ตอนที่รับสมัครรุ่น 2 แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สนใจอะไร จนการมาถึงของ CGM48 รุ่นที่ 1 เป็นช่วงที่หนูมีความรู้สึกไม่อยากอยู่บ้าน อยากออกไปหาความท้าทายข้างนอก เลยมองว่านั่นคือหนทางที่เราจะออกจากบ้านไปอยู่เชียงใหม่ ก็เลยตัดสินใจสมัครเข้ามา แล้วก็ได้มาอยู่ที่เชียงใหม่ตามใจนึกด้วย 

 

พื้นฐานเดิมหนูเป็นคนที่ชอบไอดอล 48 Group อยู่แล้ว ติดตาม AKB48 และ BNK48 มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนมาเป็นเมมเบอร์ของวงเราก็เป็นแฟนคลับมาก่อน เลยตัดสินใจสมัครเข้ามาก่อนโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเยอะว่าเข้ามาแล้วจะต้องพบเจออะไรบ้าง คิดแค่ว่าได้อยู่ใกล้ยายด้วย (เพราะยายอยู่แพร่) 

 

ช่วงสมัครมีความกังวลไหมว่าเราจะติดหรือไม่ติด

 

หนูไม่คิดอะไรเยอะเพราะหนูมั่นใจว่าตัวเองจะติด 100% หนูแค่รู้สึกว่าตัวเองต้องติดแน่ๆ เซนส์ของหนูบอกว่าอย่างนั้น หนูว่าต้องติดแหละเพราะไม่มีเหตุผลที่หนูจะไม่ติดเลย (หัวเราะ)

 

ส่วนช่วงการเตรียมตัวเข้ามาออดิชันก็ฝึกร้องฝึกเต้นตามปกติ แต่ไม่ได้ถึงขนาดไปเข้าคอร์สเรียนเสริมโดยเฉพาะ เพราะหนูเป็นคนที่มีความรู้สึกว่าถ้ามันใช่…มันก็จะใช่ ก็จะเน้นเต้นเอง ฝึกเอง ร้องเพลงเองเป็นหลัก

 

ความรู้สึกหลังมีชื่อเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิก CGM48 

 

จำได้ว่ามีความรู้สึกว่า โห…หลังจากนี้เราจะเป็นคนดังเหรอ เราต้องทำตัวอย่างไรดี (หัวเราะ) ในหัวตอนนั้นคิดว่าเราจะกลายเป็นคนที่มีคนรู้จักมากขึ้น เป็นช่วงที่รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะตอนนั้นก็ไม่ได้บอกเพื่อนของเราเลยสักคน ยกเว้นเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่งที่บอกไปว่าเราจะออกจากกรุงเทพฯ ไปเป็นไอดอลที่เชียงใหม่ 

 

ส่วนชีวิตที่เชียงใหม่แทบไม่ต้องปรับตัวเลย เพราะหนูอยู่ที่แพร่มาก่อน เป็นจังหวัดโซนภาคเหนือเหมือนกัน ดังนั้นบรรยากาศเมืองต่างๆ ให้ความรู้สึกเป็น Comfort Zone ที่ดีสำหรับเรามากๆ เป็นพื้นที่สบายใจ ได้กินอาหารเหนือ เดินไปไหนก็ได้ยินแต่เสียงสะล้อ ซอ ซึง ลอยมา ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับแพร่ ได้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ยาย 

 

 

เล่าย้อนไปถึงชีวิตช่วงแรกหลังจากได้มาอยู่ใน CGM48 เป็นอย่างไรบ้าง

 

หนูไม่เข้าใจว่าตอนนั้นทำไมตัวเองถึงไม่รู้สึกอะไรเลย จำได้ว่าแม่ภูมิใจมากว่าเราได้เปิดตัวและได้รับความสนใจจากแฟนๆ เป็นจำนวนมาก มียอดติดตามบนโลกโซเชียลเยอะ ได้ไปงาน ทำกิจกรรมใหญ่มากมาย มันก็มีความรู้สึกดีใจอยู่นะ ทุกวันนี้หนูยังคิดอยู่เลย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะดื่มด่ำกับโมเมนต์นั้นให้เยอะที่สุด 

 

ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรเลย ตอนนั้นอาจเป็นเพราะว่าเรายังใหม่ด้วย เพื่อนในวงรวมถึงเราตั้งรับกันไม่ทันกับการที่อยู่ดีๆ ก็มีเซ็นเตอร์ มีเพื่อนร่วมวงที่จากเราวิ่งเท่ากัน แต่อยู่ด้วยกันไม่นานก็มีคนหนึ่งที่วิ่งนำหน้าเพื่อนไปก่อน มันเป็นภาวะที่เราต้องทำงานกันจริงๆ แข่งกันจริงๆ ความเอ็นจอยที่เกิดขึ้นในช่วงแรกหลังเปิดตัวก็เลยเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงที่หนูรู้สึกเหงาอยู่นะในช่วงแรก

 

เมื่อสักครู่สิตาพูดถึงความนิยม และแน่นอนปฏิเสธไม่ได้ว่าสิตาก็คือคนที่ได้รับความนิยมสูงมากๆ นับตั้งแต่ CGM48 รุ่น 1 เปิดตัว เราจึงอยากรู้ความรู้สึกของสิตาว่า การที่เป็นคนที่มีความนิยมสูงกว่าใครเพื่อนในเวลานั้นมันรู้สึกอย่างไร 

 

ตอนนั้นหนูคิดว่าอย่างไรก็ต้องมีคนที่เป็นได้มากกว่าหนู คนที่ตั้งใจ คนที่มีศักยภาพสูงกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองลอยอยู่เหนือสูงกว่าใคร แค่รู้สึกว่าเราคือคนนั้นจริงๆ เหรอ (คนที่ได้รับความนิยมสูง) 

 

มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรากำลังบินสูงมากๆ แต่เพราะยิ่งสูงยิ่งน่ากลัว อยู่ๆ หนูก็มีความคิด ความรู้สึกกดดันตัวเอง จนกลายเป็นลดศักยภาพตัวเอง จากคนที่กล้าเต้นก็กลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจว่าเรายังเต้นดี เต้นถูกหรือเปล่า เพียงเพราะเรากลัวเพื่อนไม่ชอบ กลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจที่จะไปยืนอยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ด้านหน้าของเพื่อนๆ ซึ่งหนูว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีเลย แต่โชคดีที่รู้ตัวเร็ว รู้สึกว่าเราจะอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เลยดึงตัวเองกลับมา คอยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองมาตลอดจนถึงวันนี้

 

ในห้วงเวลานั้นเรารับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นอย่างไร ในวันที่เราเป็นคนที่ได้รับความนิยมสูงของวง ในวันที่ความมั่นใจตกเพียงเพราะกลัวเพื่อนไม่ชอบ 

 

ตอนนั้นหนูไม่แน่ใจว่าผ่านมันมาได้อย่างไร แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดก็เลยไม่ค่อยได้เจอเพื่อนๆ สักเท่าไร เราก็พยายามทำตัวเองให้เป็นอย่างที่เป็น ทำในสิ่งที่ชอบ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าการได้เป็นตัวเอง ต่อให้จะมีคนเกลียดหรือมีคนชอบก็ยอมรับได้ เพราะว่าสิตาต้องอยู่ตรงนี้อีกนาน ถ้าสิตาไม่เป็นตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตผู้คนจะผิดหวังในตัวเราแน่ๆ โดยเฉพาะแฟนคลับของเราเอง

 

 

การเป็นเซ็นเตอร์คนแรกของ CGM48 รู้สึกอย่างไร

 

ตอนนั้นหนูมั่นใจว่าอย่างไรหนูก็ต้องได้เป็นเซ็นเตอร์ ตอนนั้นเป็นช่วงที่กลับมาจากอีเวนต์ที่ญี่ปุ่น พอกลับมาก็มีความรู้สึกว่าอย่างไรเซ็นเตอร์คนแรกก็ต้องเป็นหนูนี่แหละ แต่พอได้เป็นจริงๆ ก็กลับไม่ได้รู้สึกว้าวหรือดีใจเวอร์วังขนาดนั้น เพราะในหัวตอนนั้นมีแต่ความรู้สึกที่ว่าหลังจากนั้นน่ะคือของจริงแน่ๆ เส้นทางชีวิตของสิตาจะยากกว่าเดิมหลายเท่าแน่นอน และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ)

 

ในวันดีๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องแย่ๆ เราจะไม่ถามว่าเคยมีความทุกข์กับเรื่องอะไร แต่อยากรู้ว่าทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเรื่องแย่ๆ สิตารับมือและก้าวข้ามอุปสรรคมาได้อย่างไร

 

หนูมักจะเอาคำพูดท็อกซิกเปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง เช่น เขาอาจบอกว่าหนูทำอย่างนู้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะศักยภาพของตัวหนูมีแค่นี้ หนูก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อสวนคำพูดเหล่านั้นกลับไปด้วยการทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้ 

 

หรือบางคนจะชอบพูดว่าให้หนูรีบออกจากวงไปซะ เบื่อขี้หน้าแล้ว หนูก็จะสวนกลับไปว่าถ้าอย่างนั้นหนูจะอยู่ให้นานกว่าเดิม 

 

สิ่งเหล่านี้มันทำให้สิตาเป็นคนไม่ใส่ใจกับคำพูดท็อกซิกเท่าไร แต่มันก็มีบางช่วงที่เราไม่รู้ตัว เราเผลอเก็บมันมาใส่ใจ จนเก็บเอามากลายเป็นฝันร้ายอยู่ตลอด มันเคยเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ เลย แต่หนูก็ผ่านมันมาได้เสมอ เพราะเชื่อว่าถึงแม้วันนี้เราจะเจอเรื่องแย่ๆ แต่ถ้าเราก้าวข้ามมันไปได้ วันข้างหน้ามันจะต้องมีสิ่งที่ดีรอโอบกอดเราอยู่แน่นอน 

 

หนูไม่เครียดกับเรื่องดราม่าเลย ได้แต่รำพึงกับตัวเองว่า ‘อีกแล้วเหรอ!’ ซึ่งใจหนูเป็นห่วงความรู้สึกของแฟนคลับมากกว่า กลัวว่าแฟนคลับจะเบื่อที่จะต้องมารับรู้เรื่องอะไรแบบนี้ ส่วนตัวหนูก็นั่นแหละ ไม่ค่อยแคร์เท่าไร เพราะหนูไปบังคับความคิดใครไม่ได้อยู่แล้ว หรือจะคิดในแง่บวกก็อาจหมายถึงว่ามีคนให้ความสนใจเราเยอะเหมือนกันนะ (หัวเราะ) 

 

 

เห็นว่าเคยมีความคิดอยากแกรด เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังหน่อย

 

หนูเป็นคนที่รักแฟนคลับมาก แฟนคลับคือความสำคัญลำดับแรกๆ ในชีวิตของหนู แต่ถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าแฟนคลับเขาพร้อมที่จะไปจากเรา หนูก็น่าจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ เรื่องนี้มันเป็นเหมือนจุดอ่อนของหนูเลย คือเจอเรื่องท็อกซิกหนักแค่ไหนยังทนไหว แต่ถ้าเป็นเรื่องแฟนคลับรักหนูน้อยลง มันมีผลกระทบต่อหนูไม่น้อยเลย แล้วยิ่งช่วงนี้มีสมาชิกรุ่นใหม่เข้ามาเยอะขึ้น ก็ยังมีช่วงที่เผลอแอบน้อยใจอยู่นิดหนึ่ง (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะแล้ว เพราะหนูเชื่อใจในแฟนคลับของหนูค่ะ 

 

ที่ผ่านมาหนูไม่เคยมานั่งนับคำนวณว่าแฟนคลับหนูเข้ามาและหายไปจำนวนเท่าไร แต่สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดคืองานจับมือ เห็นเขาเข้ามาแล้วเขาก็หายไป ซึ่งหายไปอยู่เลนข้างๆ (หัวเราะ) ยอมรับว่าแรกๆ มีเฟลบ้าง จนมันเกิดเป็นคำถามว่าเราทำอะไรผิดพลาดหรือเปล่า แต่สุดท้ายหนูก็เลิกคิดแล้วปล่อยวางได้ แล้วหันสายตามองที่แถวของตัวเอง มองไปถึงท้ายเลนของตัวเองก็พบว่ายังมีคนรักเรามากมาย หนูเลยเลิกคิดแบบนั้นแล้วก็หันมาส่งต่อความรักและกำลังใจให้กับคนที่อยู่กับเราดีกว่า

 

สิ่งที่สิตาได้เรียนรู้จากการเป็นไอดอล CGM48 คืออะไร

 

หนูไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่การมาอยู่ตรงนี้ทำให้หนูได้เรียนรู้ว่ามนุษย์มีความหลากหลายมาก ทุกคนมีม้วนหนังเป็นของตัวเอง เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ชอบตัดสินคนจากภายนอก แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมเท่าไร 

 

แต่พอมาเป็นไอดอลทำให้หนูตกตะกอนได้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่มาจับมือเรา เบื้องหลังของเขาแบกอะไรไว้อยู่ เขาเสียเงิน 350 บาทมาจับมือเรา คนอื่นอาจมองว่าเขาเป็นแค่โอตะ เป็นคนที่หาความสุขเข้าตัวเอง แต่อย่างที่บอก เราไม่มีทางรู้เลยว่าข้างหลังเขาแบกอะไรไว้อยู่บ้าง

 

หลังจากนั้นหนูเลยเป็นคนที่มีความเข้าใจมนุษย์ร่วมโลกมากขึ้น คิดถึงใจคนอื่นมากขึ้น เข้าใจความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น อีกอย่างคือได้เรียนรู้ว่าไอดอลเป็นคนที่เข้มแข็งมาก ภายนอกพวกเขาดูสดใส อ่อนหวาน แต่เบื้องหลังเขาต้องใช้พลังกายและพลังใจในการทำหน้าที่มากกว่าคนทั่วไป นั่นทำให้หนูนับถือทุกคนที่อยู่ในสายอาชีพนี้ พวกเขาเก่งกันมากๆ เลย 

 

 

เมื่อสักครู่เราได้พูดคุย-รับรู้มุมมองของสิตาผ่าน 2 ช่วงเวลา นั่นคือวัยเด็ก-วัยรุ่นที่เริ่มเข้ามาเป็นสมาชิก CGM48 ทำให้เราอยากรู้ต่ออีกนิดว่า ณ ปัจจุบันสิตาในวัย 20 ปีบริบูรณ์ เป็นคนแบบไหน

 

วันนี้หนูกล้าพูดเลยว่าหนูเป็นคนที่เติบโตขึ้นมาก ด้วยความที่วัยนี้ไม่ได้อยู่กับเพื่อนแล้ว ไม่ได้เป็นวัยที่เล่นซนมานานมาก ตอนนี้เป็นสิตาที่แต่ก่อนไม่เคยคิดอะไร แต่นาทีนี้คิดอะไรก็เป็นงานไปเสียหมด เห็นทุกอย่างเป็นงานไปหมดเลย แล้วก็เป็นคนที่ Work Hard, Play Hard หนูเป็นคนที่เต็มที่กับงานมาก แต่เมื่อจบงานหนูจะหนีไปอยู่ในโลกของตัวเองด้วยการออกไปเที่ยวเล่น ไปรีแล็กซ์ สร้างความผ่อนคลายให้ตัวเอง 

 

อีกเรื่องคือมีพี่สตาฟฟ์เคยบอกหนูว่า ตั้งแต่เลี้ยงแมว หนูเป็นคนที่อ่อนโยนขึ้น หนูเลยคิดว่า ฟูยุ (ชื่อแมว) เป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตของหนูเหมือนกัน ย้อนกลับไป 2 ปีก่อน ด้วยความที่เรามาอยู่คอนโดคนเดียว แล้วมันเป็นช่วงที่เราก็เหงาๆ แล้วก็มีช่วงที่เกิดคำถามในหัวว่า มีใครที่รักเราจริงบ้าง แล้วหนูก็ถามตัวเองกลับเหมือนกันว่า ตัวเราล่ะ เคยรักใครจริงๆ หรือเปล่า โดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน 

 

เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากจะลองเลี้ยงแมวไว้สักตัว พอได้เลี้ยงเท่านั้นแหละ เลยรู้ว่าการรักใครโดยไม่หวังอะไรตอบแทนมันเป็นอย่างไร พี่สตาฟฟ์ก็บอกว่าหนูเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาก หนูก็เลยคิดว่าเป็นเพราะแมวแน่ๆ ที่ทำให้หนูรู้จักกับความรู้สึกนี้ ว่าการรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมันเป็นอย่างไร แค่เลี้ยงเขา มอบความรักให้เขา เห็นเขาแฮปปี้ มันก็มีความสุขมากๆ เลยนะ

 

ความสุขของหนูตอนนี้คือการได้อยู่กับแมว แล้วก็ได้ทำงานไอดอล รู้สึกมีความสุข 2 เท่า เมื่อได้ทำ 2 สิ่งนี้พร้อมกัน 

 

ถามแทนใจแฟนคลับ สิตาอยากเป็นไอดอลอีกนานแค่ไหน 

 

จนกว่าแฟนคลับจะบอกให้พอแล้วกัน จริงๆ หนูก็ยังอยากทำอย่างอื่นด้วยนะ เพราะหนูเป็นคนที่ไม่อยากอยู่กับที่ หนูยังอยากลองทำงานเบื้องหลัง อยากลองเป็นนักแสดง หนูอยากเป็นทุกอย่างที่หนูสามารถจินตนาการได้ในเวลานี้ ต้องรอดูในอนาคตว่าจะมีสิ่งไหนที่จะทำให้สิตาอยากก้าวไปท้าทาย เมื่อถึงตอนนั้นสิตาก็คงจะเลือกทำในสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ 

 

ขยับมาที่ผลงานชิ้นโบแดงอย่าง 1st Photobook ผลงานเดี่ยวชิ้นแรกที่สิตาภูมิใจนำเสนอ เราจึงอยากให้สิตาได้เล่าย้อนไปถึงเหตุผลที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้น เพราะไม่บ่อยครั้งที่สาวๆ 48TH จะมีโฟโต้บุ๊กเดี่ยวของตัวเอง

 

คือมันเกิดจากสิตาน้อยใจตัวเองเล็กน้อยที่เรายังทำสิ่งต่างๆ ไม่ได้สุดขนาดนั้น เต้นก็ไม่ได้สุดขนาดนั้น แล้วคอนเทนต์ของวงช่วงนั้นก็จะมี INDY CAMP หรือการเล่นดนตรีต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ก็เลยคิดในใจว่า แล้วมีอะไรที่เราสามารถทำได้บ้าง 

 

หนูมองว่าเด็กในสังกัดนี้มีประสิทธิภาพมาก พวกเขาสามารถสร้างผลงานในหลายด้าน หรือด้านอื่นๆ ได้อีก แล้วทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ หนูมักจะฮีลใจด้วยการไปคอสเพลย์แล้วก็สนุกไปกับมัน เมื่อก่อนทำบ่อยมาก แต่หลังๆ เริ่มขี้เกียจแต่งตัวบ้าง (หัวเราะ) เลยเน้นถ่ายรูปอย่างเดียว จนเริ่มคิดว่าการถ่ายภาพอาจเป็นจุดแข็งของสิตาหรือเปล่าที่ไม่ใช่แค่การร้องหรือเต้น ก็เลยได้เอาจุดแข็งตรงนี้มาทำเป็นโปรเจกต์นี้

 

งานนี้เริ่มพูดคุยกันในช่วงงาน GE ครั้งล่าสุด ทางผู้ใหญ่ก็มาบอกกับสิตาว่า ถ้าอยากลองทำอะไรให้ลองมาบอกกัน ซึ่งหนูก็เสนอการทำโฟโต้บุ๊กไป เพราะอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือเปล่า พอผู้ใหญ่โอเคหนูก็ไม่ลังเลเลยที่จะทำงานนี้

 

ภาพใหญ่ของหนูในปีนี้คือหนูต้องการแมส (มีชื่อเสียง) มากกว่านี้ เวลาหนูจะทำงานในแต่ละปี หนูจะมีภาพใหญ่หรือเป้าหมายที่อยากทำให้ได้ในแต่ละปี แน่นอนว่าปีนี้หนูอยากแมสกว่าเดิม หนูตั้งใจกับงานนี้มาก ไปร้านหนังสือ Kinokuniya เอาตลับเมตรไปวัดหนังสือโฟโต้บุ๊กว่ามีไซส์อะไรบ้าง เรียกว่าเป็นเล่มที่ผ่านการคิดดีไซน์จากสิตาเยอะมาก

 

ตอนแรกมีการวางคอนเซปต์ สถานที่ถ่ายภาพไว้เยอะมากว่าต้องถ่ายที่นั่น ถ่ายชุดนี้ จนผ่านการคุยกับผู้ใหญ่แล้ว และได้ออกมาในคอนเซปต์นี้ ซึ่งหนูก็ชอบแบบนี้ ก็เลยออกมาเป็นโฟโต้บุ๊กในแบบที่คิดว่าจะสะท้อนตัวตนของสิตาได้มากที่สุด แล้วเป็นงานถ่ายที่เชียงใหม่ พื้นที่ Comfort Zone ของสิตาด้วย ทั้งหมดใช้เวลาถ่ายเพียง 3 วัน กับชุดที่ต้องเปลี่ยนร่วม 10 ชุด ซึ่งถือว่าเยอะมาก 

 

ความโดดเด่นของโฟโต้บุ๊กเล่มนี้คืออะไร

 

เท่าที่หนูไปศึกษาโฟโต้บุ๊กเล่มอื่นในเมืองไทยจะให้ฟีลแบบน่ารัก น่ายกย่อง แต่หนูอยากให้คนที่รับชมโฟโต้บุ๊กของหนูรู้สึกว่าสิตาเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย ในนั้นจะมีการถ่ายทอดถึงชีวิตประจำวัน มิติที่แตกต่างกันออกไป และช็อต Unseen ต่างๆ ที่คิดว่าแฟนๆ ยังไม่เคยเห็น เช่น ชุดที่ไม่เคยใส่ ลุคที่ไม่เคยแต่งที่ไหนมาก่อน แล้วก็จะสอดแทรกกิมมิกต่างๆ ที่คิดว่าแฟนคลับของสิตาน่าจะชอบอย่างแน่นอน

 

 

พูดถึงความต่างของโฟโต้บุ๊กทั้ง 4 Edition ที่ปล่อยออกมาให้แฟนคลับได้จับจอง

  • ตอนนี้แฟนๆ สามารถจับจองในส่วนของ Regular Edition (Jacket A) ที่หนูจะแจกลายเซ็นผ่านออนไลน์ให้ได้ เป็นเซ็ตที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหน เราก็เซ็นและส่งไปให้คุณ เพิ่งจะเปิดให้พรีออร์เดอร์ถึงวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ 
  • ส่วน Birthday Edition เป็นเซ็ตที่สิตารู้สึกว่า ถ้าคุณไม่ได้พรีออร์เดอร์จะรู้สึกเสียดายที่สุด คือซื้อ Jacket B บินมาที่เชียงใหม่ เพื่อมาดูแฟนมีตวันเกิดของสิตาโดยเฉพาะ ซึ่งจะขึ้นแสดงร่วมกับเมมเบอร์อีก 5 คน แน่นอนว่าสิตาเป็นคนคิดโชว์และคอนเซปต์ทั้งหมดในโชว์นี้ด้วย
  • Dinner Edition คนที่ซื้อ Jacket C ทันจะได้ร่วมดินเนอร์ กินมื้อเย็นกับสิตาร่วมกันจริงๆ (อีเวนต์จะเกิดขึ้นในเชียงใหม่และกรุงเทพฯ) แล้วก็จะมี Invitation Card (การ์ดเชิญ) เขียนสดด้วยลายมือของสิตา ข้างในก็จะมีข้อความประมาณว่า “ขอเรียนเชิญคุณ…มาร่วมงานดินเนอร์” ประมาณนี้ หนูสังเกตเห็นว่าจุดแข็งของแฟนคลับหนูคือเขาจะรู้จักกันแล้ว ก็เป็นกลุ่มที่มีความเหนียวแน่น หลังงานจับมือพวกเขาจะชอบนัดไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งหลายครั้งตัวหนูก็อยากไปด้วย (หัวเราะ) ก็เลยถือโอกาสนี้จัดอีเวนต์กินมื้อเย็นร่วมกับแฟนๆ ไปเลย และแน่นอนว่าแจ็กเก็ตนี้ Sold Out ภายใน 1 นาที 
  • Nippon Haku Edition เป็น Jacket D หนูจะไปแจกลายเซ็นให้ในงาน Nippon Haku ของปีนี้ เพราะอีเวนต์นี้อยู่คู่กับ 48 Thailand มานาน และปีนี้หนูจะมีบูธเป็นของตัวเอง ถ้าใครมีแจ็กเก็ตนี้ก็เอามาให้เซ็นกันนะคะ 

 

Last night i dreamed of you ทำไมต้องเป็นชื่อนี้

 

เพราะว่าหนูฝันถึงแฟนคลับบ่อย แล้วเป็นความฝันของหนูอีกอย่างนั่นก็คือการที่ถึงเวลาต้องบินเดี่ยวได้แล้ว แม้ในอดีตอาจมีความกลัวที่ต้องลงมือทำ แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้วค่ะ หนูพร้อมจะก้าวเดินต่อไป ถ้าเป็นไปได้หนูจะไปให้สูงที่สุด เพราะนี่คือเส้นทางของหนู

 

เราได้เห็นความฝันในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นของสิตาไปแล้ว เราจึงอยากทราบว่าตอนนี้ความฝันของสิตาคืออะไร

 

ถ้าไม่ติดอะไรเลยในชีวิต สิตามีความฝันอยากเที่ยวรอบโลก อยากออกเดินทางไปทุกๆ ที่ งานอดิเรกของหนูคือการฟังพอดแคสต์ของ THE STANDARD รายการ 8 Minute History พอได้ฟังแล้วมันก็อยากเปลี่ยนสิ่งที่ฟังให้เป็นการได้ออกไปเที่ยว ไปสัมผัส ไปดูด้วยตาของตัวเอง 

 

และอีกอย่างที่อยากทำคืออยากลองเป็นนักแสดง ซึ่งต้องบอกก่อนว่าสกิลเป็นศูนย์มาก เพราะยังไม่เคยลงมือทำจริงๆ แอบรู้สึกว่าท้าทายมากๆ แต่ถ้ามั่นใจบวกกับมีโอกาสเข้ามาก็พร้อมทำอย่างเต็มที่ค่ะ 

 

 

ในช่วงสุดท้ายของบทสนทนา THE STANDARD POP หยิบยกคำถามที่เป็นเหมือนกิมมิกในวงสัมภาษณ์กับน้องๆ ในวง BNK48 หรือ CGM48 มาถามสิตา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เธอจะตอบคำถามนี้

 

ถ้าให้พาสิตาอีกคนมานั่งอยู่ตรงหน้า อยากพูด อยากขอบคุณ หรืออยากบอกอะไรกับสิตาคนนี้

 

ถ้าสิตาเป็นตัวละครในหนัง หนูก็คงไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เท่าไร (หัวเราะ) เพราะดูไม่ใช่ตัวละครที่อยู่ในฝั่งดีที่สุด แต่ในเมื่อนี่คือตัวหนูเอง หนูก็ต้องรักเขาให้มากๆ ยิ่งคนไม่รักเยอะเท่าไร หนูก็ยิ่งต้องรักตัวเองให้มากขึ้นเท่านั้น 

 

ก็อยากบอกว่า เก่งแล้วนะที่เป็นแบบนี้ ขอบคุณทุกสิ่งอย่างแม้จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่มันก็สร้างให้สิตาเป็นสิตาในวันนี้ คิดว่ามันคือสิ่งที่พิเศษในแบบของตัวเองแล้วละ ในอนาคตถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ต้องรู้สึกเหนื่อยและแข่งกับใคร อยากให้สิตามีอิสระในตัวเองสักที 

 

ตอนนี้ถ้าสิตายังไหวก็วิ่งต่อไปให้สุดทางไปเลย แต่เมื่อถึงวันหนึ่งถ้าสิตาพอใจกับอะไรสักอย่างแล้ว ก็จงเคารพในความพอใจนั้น เชื่อว่าแฟนคลับอาจเข้าใจว่าสิตาไม่เคยพอใจกับอะไรเลย อาจมองว่าสิตาเป็นคนที่ไขว่คว้าทุกอย่าง วิ่งหาทุกอย่างที่สิตาต้องการ ถ้าหนูพูดหมดต้องร้องไห้แน่เลย (หัวเราะ) ก็ขอให้สิตาได้อยู่กับแมวตลอดไปนะ

 

 

เปิดซองจดหมายถึงแฟนคลับ 

 

สวัสดีค่ะ สิตานะคะ ขอบคุณที่เข้ามารักเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้เพอร์เฟกต์เต็มร้อย เป็นแค่เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง แต่คุณรักเราด้วยใจจริงๆ คุณให้เด็กคนนี้โดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน ก็เลยอยากให้ทุกคนได้รับความรักแบบนั้นจริงๆ กลับไปบ้าง ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม ในวันหนึ่งถ้าสิตาไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว อาจฟังดูเห็นแก่ตัวนิดหนึ่ง แต่สิตาอยากขออยู่ในความรู้สึกของทุกคนแบบนี้ตลอดไปได้ไหม เพราะแฟนคลับคือสิ่งสำคัญในชีวิตของสิตามาก ถ้าเลือกได้ก็อยากให้สิตาคงอยู่ในสมองหรือหัวใจของแฟนคลับตลอดไป เพราะตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของหนูนับจากนี้ คงจะลืมแฟนคลับไม่ได้เช่นกัน ขอบคุณมาก…รักนะ 🥰

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising