×

สิงโต นำโชค เดอะ มูฟวี่ หนังชีวิตที่ต้องเล่นเอง เจ็บเอง กำกับเอง

04.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • ตอนเด็กๆ สิงโตติดละครมาก เพราะเป็นความบันเทิงอย่างเดียวที่เข้าถึงได้ในตอนนั้น เริ่มต้นจากเรื่อง ปลาบู่ทอง และ ดาวพระศุกร์ จนกระทั่งได้ดูเรื่องละครเรื่อง ฉลุย และกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเป็นนักดนตรีกลางคืนตั้งแต่อายุ 13 ปี
  • สิงโตมีความคิดอยากเป็นนักแสดงมาตลอด พร้อมๆ กับการได้เริ่มเป็นศิลปินเดี่ยว โดยมีนักแสดงต้นแบบคือ จอห์นนี เดปป์ และยังคงหาบท ‘เดปป์ๆ’ เล่นอยู่ตลอดเวลา
  • สิงโตเชื่อว่าชีวิตจริงของทุกคนคือการแสดงที่ดีที่สุด และทุกคนสามารถเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชีวิตเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเอง
  • นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด คือผลงานล่าสุดในฐานะนักแสดงที่ทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องการแสดงที่ไม่ต้องแสดง

     ถ้าเป็นเรื่องดนตรี เชื่อว่าคงไม่มีใครสงสัยในตัวผู้ชายที่ชื่อ สิงโต-นำโชค ทะนัดรัมย์ เพราะเขาได้พิสูจน์ตัวเองด้วยเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ เนื้อหาและทำนองที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งฝีมือการเล่นกีตาร์และอูคูเลเล่ผ่าน 3 สตูดิโออัลบั้ม และอีก 3 อีพีอัลบั้ม

    ไม่ใช่แค่ศาสตร์แห่งเสียงเพลง การแสดงก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่เขาหลงใหลเป็นพิเศษ และทุกครั้งที่มีโอกาส เราจะเห็นเขาพาตัวเองเข้าไปอยู่ในศาสตร์นั้นอยู่เสมอ ล่าสุดเขามีโอกาสเล่นหนังใหญ่แบบเต็มตัวเป็นครั้งแรกในเรื่อง นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด

    ยอมรับตามตรงว่าเราอาจจะยังไม่เชื่อในฝีมือด้านนี้ของเขามากนักเมื่อเทียบกับงานดนตรีที่เขาถนัดอยู่แล้ว วันนี้ THE STANDARD เลยชวนเขาวางกีตาร์มานั่งคุยกันถึงศาสตร์การแสดงที่เขาหลงใหล เพื่อหาคำตอบว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้นักร้องที่ยืนอยู่บนเวทีเพื่อแสดงตัวตนอยากมารับบทเป็นคนอื่นได้มากขนาดนี้ และไม่เพียงแค่รับแสดงเป็นคนอื่น แต่เขายังรับหน้าที่ ‘กำกับ’ ภาพยนตร์ชีวิตที่ชื่อ ‘นำโชค เดอะ มูฟวี่’ ด้วยตัวเองอีกด้วย

 

 

ภาพยนตร์กับละครถือว่าเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้สำหรับเด็กชายนำโชคมากขนาดไหน

    ขนาดที่ว่าถ้าใครมาขโมยทีวีนี่ผมเอามีดกรีดคอเลยนะ (หัวเราะ) ดูมาตั้งแต่เด็กๆ ปลาบู่ทอง, ดาวพระศุกร์, เจ้านาง ฯลฯ ติดมากๆ เพราะว่าละครเหมือนความบันเทิงชิ้นเดียวที่เราสามารถหาดูได้ในตอนนั้น

    แล้วบางเรื่องไม่ได้ให้แค่ความสนุก แต่ให้แรงบันดาลใจกลับมาด้วย อย่างเช่นเรื่อง ฉลุย นี่ติดหนักมาก ที่ทำให้อยากเป็นนักดนตรีก็เพราะเห็นโต้งกับป๋อง (อ้น-สราวุธ มาตรทอง และทีน-สราวุฒิ พุ่มทอง) เขาออกไปเล่นในผับ ตอนนั้นอายุแค่ 14-15 ก็ออกไปออดิชันเพื่อร้องเพลงกลางคืนแบบเขาบ้าง ไปคนเดียวนี่แหละ ไม่ได้ไปเป็นคู่แบบในละคร แต่ไปเจออะไรหลายๆ อย่างแบบที่พวกเขาเจอ ออดิชันไม่ผ่าน คนดูไม่ยอมรับ โดนมองว่าห่วย แต่ถือว่าดี เพราะผมเชื่อในการลงสนามจริง คนเราจะนั่งมองหาแรงบันดาลใจอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องลงมือทำ แล้วจะได้รู้ว่าไอ้ที่เราฝัน ที่เราอยากเป็น เมื่อลงมาสนามจริงแล้วมันเป็นยังไง

 

มีนักแสดงคนไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษหรือเปล่า

    จอห์นนี เดปป์ คนเดียวเท่านั้นครับ เท่มาก ทั้งจากคาแรกเตอร์ ทั้งจากหนังที่เขาเล่น คนนี้เป็นไอดอลด้านการแสดงของผมเลยนะ ผมบอกที่ค่ายตลอดว่าถ้ามีหนังแบบจอห์นนี เดปป์ เมื่อไรให้รับมาเลยนะ ซึ่งก็มีจริงๆ ให้เล่นเป็นคนบ้า (รับบทเป็น ต้น ในละครเรื่อง เงินปากผี) แล้วก็พังเลย เพี้ยนสุดๆ (หัวเราะ)

 

 

แสดงว่ามีความคิดอยากเป็นนักแสดงมาตลอดอยู่แล้ว

    มีเรื่อยๆ เลยครับ ตั้งแต่เป็นศิลปิน ได้เล่น MV ของตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันมีความสุข อย่างเล่น MV แค่เดินไปเดินมา ดีดกีตาร์เฉยๆ แค่นั้นเราก็สนุกแล้ว เพราะฉะนั้นเลยอยากรู้ว่าถ้าได้แสดงอะไรขึ้นมาจริงๆ จะเป็นยังไง เป็นอีกศาสตร์ใหม่ที่ต้องเรียนรู้ แล้วถ้าเรียนรู้ก็ต้องลงสนามจริง ซึ่งแต่ละเรื่องก็จะมีระดับในการเรียนรู้ของมัน ช่วงแรกๆ ก็เริ่มจากบทใกล้ๆ ตัวก่อน สักพักเริ่มอยากลอง เอาบทคนบ้ามาเลย นี่ล่ะการเรียนรู้ครั้งสำคัญ คือพอไปดูแล้วมันไม่ใช่จอห์นนี เดปป์ เลยนะ มันบ้าล้วนๆ ไม่มีความเท่เลย (หัวเราะ) แต่มันได้เห็นอะไรหลายอย่างมาก ได้ยืนกลัวผีอยู่ 3 นาที เพราะต้องรอคนอื่นเล่นบทของตัวเองให้เสร็จ ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงเราเจอผีไม่ถึง 5 วินาที เราก็วิ่งหนีแล้ว ต้องแสดงบทบาทของตัวเองให้ดี ให้เป็นธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องดูเรื่องมุมกล้อง ดูนักแสดงคนอื่นๆ แล้วเดินหน้าไปพร้อมกันทั้งหมด ยิ่งมาถ่ายเรื่อง นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด ที่เป็นกองถ่ายหนังใหญ่แบบจริงจัง ยิ่งได้เห็นการทำงานที่มากขึ้น เห็นชีวิตที่หลากหลาย เวลาทำหนังหรือละคร เราไม่ได้แค่สร้างให้ตัวละครมีชีวิต แต่เราต้องเอาชีวิตของทุกคนใส่ลงไปด้วย

    ผมชอบการได้เห็นอะไรแบบนี้นะ เพราะรู้สึกว่านี่ล่ะคือมนุษย์ นี่ล่ะคือชีวิตจริงๆ พอย้อนมาดูชีวิตประจำวันแล้วจะเห็นว่า เฮ้ย ทุกๆ วันของเรานี่มันคือการแสดงที่ดีที่สุดเลยนี่นา แต่ละคนมีบทบาทที่ต้องแสดง มีคำถาม มีคำตอบ มีบทพูด บางครั้งบางคนไม่มีบท ต้องนั่งอยู่เฉยๆ ถ้าสังเกตชีวิตรอบตัวให้ดีจะเหมือนเราดูละครหรือภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าทุกคนแสดงแล้วไม่จริงใจใส่กันนะ แต่มันคือการแสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ

 

ถ้าชีวิตคือการแสดงแบบที่คุณบอกจริงๆ ใครคือผู้กำกับละครหรือหนังเรื่องนั้น

    กำกับเองเลยครับ เราเขียนบทเองได้ด้วย แต่บางทีไม่รู้ว่าเราถ่อมตัวหรือว่ากลัวอะไรบางอย่าง ทำให้เราไม่ค่อยกล้าเขียนบทให้ตัวเอง บางทีเขียนเสร็จแล้วกลัวคนไม่ยอมรับ มึงอยากเป็นนักบินอวกาศเหรอ มึงอยากเป็นนักดนตรีเหรอ โห เป็นไม่ได้หรอก ทำให้ไม่กล้าเขียนบทต่อ แต่จริงๆ แล้วเขียนได้ อยากเป็นอะไรก็เริ่มเขียน ถ้ากลัวก็ไม่ต้องให้คนอื่นดู เก็บบทเอาไว้ รอสร้างเป็นหนังขึ้นโรงฉายแล้วค่อยให้คนอื่นดูตอนนั้นทีเดียว

 

 

เริ่มเป็นผู้กำกับละครชีวิตตัวเองตั้งแต่เมื่อไร

    ตั้งแต่อายุ 12 แล้วครับ กำลังสด ชีวิตมันอมตะ เด็กน้อย อยากเป็นอะไรก็ได้ เริ่มเขียนบทครั้งแรกตอนทำงานอยู่โรงกลึง อยากเป็นนักดนตรี แต่ยังเล่นไม่เก่ง ก็เอาเบอร์โทรค่ายเทปไปเขียนไว้ข้างผนัง เตือนตัวเองทุกวันว่าสักวันเราจะฝึกให้เก่งแล้วโทรไปหาเขาให้ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มฝึก พออายุ 13 ได้ดูเรื่อง ฉลุย ก็ขโมยบทเขามา แล้วมาปรับใช้ สั่งแอ็กชันแล้วลุยไปเลย ไม่ต้องคิดเยอะว่าจะห่วยหรือจะโดนด่า หลังจากนั้นค่อยว่ากัน แล้วเขียนเสร็จใช่ว่าจะจบเลยนะ มันต้องค่อยๆ แก้ ซึ่งการแก้ก็มีหลายอย่าง บางคนอาจจะแก้ให้ตัวเองไม่ต้องทำอย่างนั้นอีกเลยก็ได้ หยุดเลย จบหนังเรื่องนั้นไปเลย แต่ผมไม่เคย หนังของผมยังไม่มีวันจบ ผมจะเขียนบท กำกับ และฉายหนังของผมไปเรื่อยๆ

 

คิดว่าบทช่วงไหนของนำโชค เดอะ มูฟวี่ สนุกที่สุด

    บทปัจจุบันสนุกที่สุด มันได้คิด ได้แก้ปัญหาเยอะ บทเก่าๆ มันอาจจะสนุกกว่าก็ได้นะ แต่มันผ่านไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เลยไม่สนุก มาเอ็นจอยกับสิ่งที่เรามีตอนนี้ดีกว่า เขียนตอนต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ ชีวิตจะไปทางไหน คิด เขียน แล้วก็ทำมันทุกๆ วันเพื่อให้หนังเรื่องนี้ของเรามันดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมพอใจกับการเป็นผู้กำกับหนังของผมมากเลยนะ สุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไงไม่รู้ แต่มันมีความสุขที่ได้ทำ คนดูจะชอบไหมไม่รู้ล่ะ แต่ผมมีความสุขกับหนังเรื่องนี้มากๆ แล้ว

 

 

ในฐานะผู้กำกับ พอใจกับนักแสดงนำในนำโชค เดอะ มูฟวี่ มากแค่ไหน

      บางทีมันก็ไม่ทำตามเหมือนกันนะ (หัวเราะ) บางทีมันไม่มั่นใจ กลัว มัวแต่คิดว่าเล่นแบบนี้จะดีเหรอวะ ไม่น่ารอด แต่ผมแก้ปัญหาด้วยการพยายามเปย์นักแสดงหน่อย ทำให้เขามีความสุข แฮปปี้กับสิ่งที่เขามีอยู่ ไม่เอาเรื่องเก่า เรื่องหนักใจมาให้เขาคิด อันไหนทำแล้วไม่เวิร์กก็ไม่เอามาเล่าให้เขาฟัง ไม่ต้องให้เขาทำอีก แล้วนำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าจะดีและควรเกิดขึ้น หาบทดีๆ มาให้เขาแสดงบ่อยๆ ทำให้เขามั่นใจในตัวเราและมีกำลังใจ เขาถึงจะแสดงได้

 

นักแสดงที่ชื่อสิงโต นำโชค โดนสั่งเทกบ่อยไหม

    ไม่ค่อยเทกนะ ทำไปเลย ผมเป็นผู้กำกับที่ให้อิสระกับนักแสดง ถ้าวันนี้เขารู้สึกทำไม่ได้ ไม่เป็นไร พักก่อน แต่ไม่ใช่ว่าเลิกทำไปเลยนะ ยังไงก็ต้องทำ ยังไงก็ต้องเล่น แต่ถ้าตอนนี้ไม่ไหว พักก่อน เดี๋ยวกลับมาเล่นกันใหม่ หนังเปิดกล้องไปแล้ว เลิกกลางคันไม่ได้ ดีไม่ดีไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกที

 

เคยมีช่วงที่คิดบ้างไหมว่าเราคงไม่สามารถเขียนบทหรือกำกับชีวิตตัวเองได้แล้ว

    ไม่มี เพราะผมเลือกที่จะไม่เขียนบทแบบนั้น ผมไม่เขียนบทที่ผมไม่อยากเป็น อยู่ดีๆ อยากลองมาก บอกว่ามึงไปเป็นนักบินอวกาศเดี๋ยวนี้ แบบนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขียนอะไรต้องให้ใกล้เคียงกับตัวเอง เขียนอะไรที่เราอยากเป็น แล้วมันจะไม่มีอะไรเลยที่เราเขียนหรือกำกับไม่ได้

 

มีบทที่เขียนผิดพลาดมากขนาดไหน

    ผมไม่ใช้คำว่าพลาดนะ เพราะมันต้องมีบทแบบนั้น หนังเรื่องนี้มันถึงเป็นได้แบบทุกวันนี้ ถ้าขาดบทแบบนั้นไป ฉากในหนังที่เรามานั่งคุยกันอยู่ตอนนี้ก็ไม่เกิด ต่อให้ไม่เป็นอย่างที่คิด ต่อให้ผิดในเวลานั้น แต่มันก็ถูกต้องในแบบของมัน เราต้องล้มก่อน เราถึงเขียนบทให้ตัวละครลุกได้ ถ้ามันยืนมาตลอด สักพักเราก็ไม่รู้ว่าจะให้มันทำอะไรต่อแล้ว แต่ถ้ามันล้ม มันเจ็บ เดี๋ยวมันก็ได้เรียนรู้ เดี๋ยวมันก็ลุกไปทำอะไรใหม่ แบบนั้นเนื้อเรื่องถึงจะเข้มข้น

 

บทแบบไหนที่คุณจะไม่ใส่ลงในหนังของคุณเด็ดขาด

     บทเดิมๆ ที่ทำไปแล้ว มันน่าเบื่อ ไม่น่าดู บางบทรู้ว่าคนอาจจะชอบนะ แต่ไม่อยากทำ อยากลองเขียนอะไรที่อาจจะเจ็บตัวหน่อย แต่ได้ทดลองให้มีอะไรตื่นเต้นกับชีวิต เพราะคนเราไม่สามารถดูหนังโทนเดิมไปได้ทั้งเรื่องหรอก สุขอย่างเดียวก็เลี่ยน ทุกข์ไปเลยก็หม่นเกินไป ไม่มีใครอยากดู เพราะฉะนั้นหาอะไรใหม่ทดลองไปเรื่อยๆ ครับ เพิ่มสีสันให้ชีวิต

 

 

ที่รับเล่นหนังเรื่อง นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด นี่คุณเขียนบทให้กับตัวเองไว้แบบไหนบ้าง

    คือการเรียนรู้ล้วนๆ เลยครับ อาจจะเป็นโชคชะตาด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่เริ่มจากผมอยากได้เสียงพี่โต๊ะ พันธมิตร (ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ นักพากย์ชื่อดังและผู้กำกับเรื่อง นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด) มาประกาศก่อนขึ้นคอนเสิร์ต เพราะได้ยินเสียงแกมาตั้งแต่เด็กๆ โจวซิงฉือ, โจวเหวินฟะ จนเหมือนแกเป็นคุณลุงคนหนึ่งในครอบครัว เลยติดต่อไปหา หลังจากนั้นพอแกทำหนังเรื่องนี้ แต่หาคนเล่นบทนี้ไม่ได้ คือเขาอยากได้คนที่ดูมีการศึกษา รวย รูปหล่อ ตอนเขาโทรมาผมยังคิดเลยนะ เขาโทรมาผิดเบอร์หรือเปล่าวะ หรือเขาจะโทรหาโตโน่ แต่กดผิดมาเป็นโต นำโชค (หัวเราะ) แต่เอาสิ โอกาสมาแล้ว ถ้าพี่เลือกผม ผมทำนะ เพราะคิดว่านี่ล่ะคือโรงเรียนที่ดีที่สุด อยากแสดงก็ต้องไปกองถ่าย ถ่ายจริง คัตจริง ด่าจริง (หัวเราะ) เรื่องนี้ผมได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจริงๆ นะครับ โดยเฉพาะการแสดงที่ดีมันจะต้องไม่ใช่การแสดง คือเราต้องทำออกมาให้เป็นมนุษย์ที่สุด เหมือนที่ผมบอกว่าชีวิตคือการแสดงที่เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะฉะนั้นในการแสดง เราก็ต้องเอาธรรมชาติตรงนั้นมาใส่ให้ได้

 

 

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นนักแสดง

    ไม่ได้มองว่ามันยาก ผมมองว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องทำให้ได้ ผมไม่ได้มองว่าอะไรยากมานานมากแล้ว พอเล่นหนังเลยไม่ได้รู้สึกว่าทำไมยากจัง ทำไมไม่ได้สักที มีแต่ อ๋อ ที่ยังทำไม่ได้เพราะมึงยังไม่เก่ง ยังต้องเรียนรู้จากมันอีกเยอะ เวลาเล่นไม่ได้ไม่ได้ทำให้ท้อ แต่ทำให้เราคิดว่าต่อไปต้องเตรียมตัวมาให้ดีที่สุด ให้พร้อมที่สุด เขายกฉากมาก็ต้องเล่นฉากนั้นให้ได้ทันที

 

จำได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่คุณรู้สึกว่ายากจริงๆ

    โห ผมเอ็นจอยกับชีวิตจนไม่รู้สึกว่าอะไรมันยากเลยจริงๆ นะ อย่างตอนเด็กๆ ที่อยู่โรงกลึง ทำงานหนักก็ไม่ได้รู้สึกว่ายาก มันแค่ว่างเปล่า ไม่รู้จุดหมายว่าเราอยากทำอะไร ทำตามเขาไปเรื่อยๆ พอมีเป้าหมายอยากเป็นนักดนตรี เราก็มัวแต่ไปตั้งใจทำอย่างเดียวจนไม่ทันคิดหรอกว่าไอ้ที่ทำอยู่มันยากหรือเปล่า

    เวลาเจอปัญหาที่มันหนักมากๆ ผมก็ไม่ทันคิดว่ามันยากอีกนะ เพราะต่อให้มันลำบาก แต่สุดท้ายเราจะผ่านมันมาได้ แล้วเราจะขอบคุณอุปสรรคพวกนั้นเสมอที่ทำให้เราเติบโตขึ้น เก่งขึ้น ยิ่งเจออะไรยากๆ เร็วเท่าไรยิ่งดี มันยิ่งทำให้เราพร้อมที่จะเจออะไรต่อไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

อะไรคือสิ่งที่ชอบที่สุด สนุกที่สุด เวลาอยู่ในกองถ่าย

    อย่างแรกคือมิตรภาพนะ ยิ่งเรื่อง นายไข่เจียวฯ นี่ตรงมากเลย เพราะมันพูดถึงเรื่องมิตรภาพล้วนๆ คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามทำอะไรขึ้นมาสักอย่าง ใช้มิตรภาพช่วยกันผลักดันให้สิ่งๆ นั้นเกิดขึ้นมาได้ ได้เห็นมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ต่างคนต่างชีวิต แต่ทุกคนมาอยู่ร่วมกันและพากันไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งอันนี้คือเรื่องที่หนังพยายามสื่อ แล้วถ้ามองเข้ามาในกองถ่ายมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามีนักแสดง ทีมงานหลายสิบคนที่ร่วมกันสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ละคนร้อยพ่อพันแม่ ต่างสไตล์ ต่างความคิด แต่พอมาทำงานด้วยกัน เราทุกคนคือเพื่อนกัน และทุกๆ ครั้งที่เล่นละคร หนัง หรืออะไรก็ตามจบ มิตรภาพกับเพื่อนกลุ่มใหม่จะเกิดขึ้นเสมอ

   อย่างที่สองคือการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก ผมสนุกที่ได้เรียนรู้ นอกจากการแสดง ผมคิดว่าชีวิตคือการเล่นเกมอยู่ตลอดเวลา เรามีด่านใหม่ๆ ให้ผ่านไปเรื่อยๆ การแสดงหนังเหมือนการเก็บไอเท็ม หาอาวุธ และเก็บเลเวลเพื่อเอาไว้ใช้ในด่านที่ยากๆ ต่อไป

 

 

ถ้าชีวิตคือเกมที่มี 100 ด่าน ตอนนี้คุณเล่นมาถึงด่านที่เท่าไรแล้ว

    คงด่าน 34 เท่าอายุของผมครับ คือผมเล่นไปเรื่อยๆ เล่นไปจนเครื่องพัง ผมอาจจะไม่ได้เล่นไปถึงด่านที่ 100 ก็ได้นะ ก็เล่นเท่าที่เล่นไหว แต่ตลอดเวลาที่เล่น ผมจะเล่นให้เก่งที่สุด เพราะบางทีเมื่ออายุไปถึงจุดหนึ่งก็อาจจะอยากเกษียณ อยากเขียนบทชิลล์ๆ ให้ตัวเองก็ได้ แต่ตอนนี้ยังอยากเขียนบทบู๊ๆ หน่อยให้ตัวเองได้เจ็บอยู่

 

เดินทางมาถึงอายุ 34 ปี ผ่านอะไรมาพอสมควร เคยคิดบ้างไหมว่าเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเจ็บแบบนั้นแล้ว

    ยังรู้สึกว่าตัวเองหนุ่ม ยังเป็นเด็กๆ อยู่เลย พร้อมฝันตลอด ผมเริ่มมาจากเจ็บแล้วเกิดผล ผมเลยสนุกที่จะเจ็บ เพราะผมเรียนรู้จากการเจ็บทุกครั้ง คือผมไม่ได้เป็นมาโซคิสม์ที่อยากเจ็บแล้วเจ็บอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่านะ คนเราเจ็บได้ แต่ไม่ควรสูญเปล่าจากการเจ็บนั้น แล้วหลังจากนี้เวลายังเหลืออีกเยอะแยะ ถ้าผมจะหยุด คงไม่หยุดเพราะความเจ็บ แต่จะหยุดเมื่อพอมีฝันอะไรต่อ แล้วดันเป็นความคิดหรือความสำเร็จแบบเดิมๆ มาเป็นที่ตั้ง ผมว่าทำแบบนั้นไม่เจ็บแน่ๆ แต่ไม่สนุกก็พอดีกว่า ฉากต่อไปหลังจากนี้คงไม่น่าสนใจอีกแล้ว

 

ตอนนี้อยากเล่นบทแบบไหนมากที่สุด

    ยังประมาณจอห์นนี เดปป์ เหมือนเดิมครับ เรื่องไหนก็ได้เลยของเขา ถึงแม้เรื่องที่แล้วจะพังไปแล้ว แต่ยังอยากเล่นแบบนั้นอยู่

 

แล้วบทที่เราจะไม่มีวันเห็นคุณเล่นแน่ๆ คือบทแบบไหน

    เลิฟซีนครับ นอกจากสรีระร่างกายที่ไม่น่าจะไหวแล้ว ถ้าผมเล่นบทแบบนั้นเมื่อไร รับรองว่าเมียผมด่าตายห่าเลย (หัวเราะ) ให้เล่นเป็นบทบ้าน่าจะดีกว่า

 

ตัวอย่างหนัง

FYI
  • บ้านเซียนตุ่นในหนังเรื่อง สายล่อฟ้า (ยุทธเลิศ สิปปภาค, 2547) คืออีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเดินทางไปเป็นนักดนตรีที่ภูเก็ต เพราะอยากหาบ้านสวยๆ ริมทะเลแบบนั้นอยู่ เขาเดินตามหาบ้านหลังนี้อยู่นาน ก่อนจะพบว่าบ้านแบบนี้ไม่มีอยู่จริง
  • Forgetting Sarah Marshall (นิโคลัส สโตลเลอร์, 2008) คือหนังที่สิงโตดูซ้ำบ่อยที่สุด เพราะเป็นหนังที่ภรรยาเขาชอบดูมากที่สุด และแน่นอนว่าสิงโตต้องดูด้วยแทบทุกครั้ง
  • เทคนิคที่สิงโตยึดเป็นหลักในการแสดงคือ ‘ห้ามรู้ก่อน’ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
  • ตอนเด็กๆ สิงโตชอบกินไข่เจียวหมูสับกับซอสพริกศรีราชามากถึงขนาดต้องกินทุกวัน พอโตขึ้นมาก็มีการปรับสูตรเล็กน้อยด้วยการซอยพริกกับหอมแดงใส่ลงไปเพิ่ม กินคู่กับข้าวเหนียวร้อนๆ ปั้นแน่นๆ เท่านี้ก็พอแล้ว
  • นายไข่เจียว เสี่ยว ตอปิโด เข้าฉายวันที่ 5 ตุลาคมนี้
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising