“ทุกอย่างในชีวิตมันเติบโตมาในช่วงเวลาของมัน และมันสวยงามหมดในช่วงเวลานั้น เราไม่สามารถกลับไปทำอะไรแบบเดิมได้”
มองเผินๆ น้ำเสียง บุคลิก แววตา และจังหวะพูดของ สิงโต นำโชค จะยังคงเป็นศิลปินคนเดิมที่แฟนเพลงคุ้นเคย นับตั้งแต่ซิงเกิลแรกชื่อ ทิ้ง ก่อนจะได้รู้จักแบบเต็มๆ ในสตูดิโออัลบั้ม Singto Numchok เมื่อ 9 ปีก่อน
แต่ลึกๆ แล้วสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในเช้าวันที่ซิงเกิลแรกชื่อ วันที่เรานับหนึ่ง จากอัลบั้มเดี่ยวชุดใหม่ของเขาเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน นักร้องชายจากบุรีรัมม์ผู้เคยมีภาพจำคู่อูคูเลเล่เมื่อวานก่อนกลับสรุปบทเรียนชีวิตด้วยท่าทีที่เรียบง่ายว่า แท้จริงแล้วความพอดีของชีวิตคือ ‘แฮปปี้อยู่กับปัจจุบัน’
“เป้าของผมมีแค่นี้เลย คือมีความสุขกับปัจจุบัน อะไรที่เกิดขึ้นอยู่ ไม่ว่ามันจะเพอร์เฟกต์หรือไม่ค่อยเฟอร์เฟกต์ แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันคือความสวยงามหมด”
คนเราพอมีปัญหา เราก็มักจะคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปสักอย่าง ให้นึกถึงวันที่เรานับหนึ่งมาด้วยกัน นึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยผ่านเรื่องราวดีๆ มาด้วยกัน
‘วันที่เรานับหนึ่ง’ ซิงเกิลแรกในอัลบั้มใหม่เพิ่งปล่อยมามาได้ไม่กี่วัน เริ่มต้นจากเล่าที่มาของมันให้ฟังหน่อยดีไหม
ซิงเกิลใหม่ของผมชื่อว่า ‘วันที่เรานับหนึ่ง’ ความจริงมันเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว แต่ผมยังไม่เคยได้ยินใครนำมาเขียนเป็นเพลง คือเวลาที่เรามีปัญหาหรือทะเลาะกับคนรัก คนเขาจะชอบพูดกันว่า “ให้คิดถึงวันแรกที่เจอกัน” วันแรกที่เราทำได้ทุกอย่าง ขับรถเป็นพันๆ กิโลฯ เพื่อไปเจอชั่วโมงหนึ่งก็ทำได้ แต่พออยู่ด้วยกันไปสัก 3-4 ปี ใช้ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวก็บ่นว่าทำไมใช้เราไปซื้อ คือคนเราพอมีปัญหา เราก็มักจะคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปสักอย่าง ให้นึกถึงวันที่เรานับหนึ่งมาด้วยกัน นึกถึงช่วงเวลาที่เราเคยผ่านเรื่องราวดีๆ มาด้วยกัน
อันนี้แต่งโดย Based on จากชีวิตจริงด้วยหรือเปล่า หรือแค่เขียนถึงชีวิตของคู่รักทั่วไป
ชีวิตคนทั่วไปครับ (หัวเราะ) ผมว่าทุกคนมีมุมนี้หมด คือพออยู่ด้วยกันนานๆ ไป ก็จะนึกถึงแต่ข้อบกพร่องของกันและกัน ทั้งที่จริงๆ ข้อดีมันก็มี กลับกันไอ้วันที่เราเพิ่งเริ่มนับหนึ่ง เราจะไม่มองข้อเสียเลย เราจะมองเห็นแต่ข้อดีอย่างเดียว
ถ้าอย่างนั้นช่วยพาย้อนกลับไป ‘นับหนึ่ง’ ในวันแรกของคุณกับภรรยาสักหน่อยครับ ว่าคู่ของเราเป็นอย่างไรบ้าง
วันแรกที่เจอกัน ตอนนั้นผมอยู่ภูเก็ต ผมเล่นดนตรีอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้า ส่วนเขาก็เหมือนมาเดินซื้อของ พอเจอคนเล่นดนตรีเขาก็หยุดฟัง ซึ่งน้อยคนนะจะหยุดฟัง คนที่หยุดฟังแสดงว่าคงจะมีอะไรสื่อถึงกันนิดหนึ่ง แล้วเขาสวยด้วย เป็นลูกครึ่ง คือหน้าอย่างผมหาแฟนลูกครึ่งเนี่ยแทบเป็นไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) แล้วหลังจากเจอกันครั้งแรก เขาก็มาหยุดฟังบ่อย พอฟังบ่อยผมก็เลยเข้าไปคุย เริ่มจากเป็นเพื่อนก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นแฟนกัน คบกันจนมาถึงทุกวันนี้
First Date ล่ะ
จริงๆ ไม่มีเฟิร์สเดตเลย คือผมเล่นดนตรีอยู่ร้านนี้ ผมก็ชวนเขามาที่ร้าน จะไม่มีเฟิร์สเดตแบบพากันไปเที่ยว ไปกินข้าว จะไม่มีอะไรถึงขนาดนั้น ผมเล่นร้านไหน เขาตามมาก็เจอกันร้านนั้น ก็เดตกันในที่ที่ผมทำงานนี่แหละ อย่างที่บอกว่าผมเริ่มต้นจากเป็นเพื่อน มันก็เลยไม่ค่อยจะโรแมนติกมาก ดอกไม้ยังไม่มีสักดอกเลยนะ
จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยให้ดอกไม้ภรรยา…
เคยให้บ้าง ผมว่าเขาชินแล้วครับที่เราเป็นคนแบบนี้ คนที่ไม่โรแมนติก ดอกไม้ที่ให้ก็จะเป็นดอกไม้ที่ได้รับจากงานคอนเสิร์ตนี่แหละ ตอนแรกได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปไหนนะ บางทีน้องทีมงานเขาชอบก็ขอกลับไป แล้วมีอยู่วันหนึ่งผมเอากลับบ้าน ภรรยาผมเขาก็บอกว่าชอบมากเลย วันหลังเอามาบ่อยๆ แล้วเขาก็เอาดอกไม้ไปจัดใส่แจกัน
ปกติคนไม่โรแมนติกนี่เขาเติมความหวานในชีวิตคู่กันอย่างไร
คือผมกับภรรยาเราใช้ชีวิตเหมือนแต่งงานมาตั้งแต่แรก เพราะเราอยู่ด้วยกัน ฉะนั้นผมว่าที่ต้องเติมให้กันคือความเข้าใจมากกว่า เพราะคนสองคนพอมาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องแชร์ความรู้สึกกันคนละครึ่ง ฝั่งไหนจะมากไปก็ไม่ได้ เราจะเลือกเอาแต่ที่ชอบหมดทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้ มันต้องเฉลี่ยครึ่งๆ บาลานซ์ให้เท่ากัน คนสองคนมันก็จะไปด้วยกันได้ตลอด ผมว่าตรงนี้มากกว่าที่น่าเติม
“ชีวิตมันมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ผมว่าในข้อผิดพลาดมันก็ทำให้เป็นเราในวันนี้ ทุกวันนี้ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นก็ตาม ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสวยงามหมด เพราะมันทำให้เราเป็นเราในวันนี้”
คนไม่โรแมนติกนี่ จำความรู้สึกในวันที่ขอภรรยาแต่งงานได้ไหม
วันที่ผมขอแต่งงานมันเป็นอะไรที่เหมือนคุยกันมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่าชีวิตมันเหมือนแต่งงานอยู่แล้ว เราก็คุยกันเลย คือช่วงนั้นผมต้องไปฮาวาย ไปเล่นงานฮาวาย อูคูเลเล เฟสติวัล พอดี แล้วญาติเขาก็อยู่ที่ฮาวาย ก็เหมาะเลย ค่าตั๋วเครื่องบินก็ฟรีเพราะทีมงานจ่ายให้ แฟนก็บินไป พอบินไปก็ดีเลย ก็ถือว่าได้ไปเที่ยว ได้ไปเล่นดนตรี แล้วถือโอกาสแต่งงานที่นั่นเลย
ความจริงวันแรกก่อนแต่งงานก็ยังเฉยๆ นะครับ แต่พอถึงวันแต่งจริงมันก็หวิวๆ แล้วไปแต่งแบบมีบาทหลวง เราก็ไม่ชิน เพราะภาพที่เราเคยชินมันต้องมีพาน มีอะไร (หัวเราะ) ก่อนแต่งผมก็เข้าไปคุยกับบาทหลวงก่อน แล้วบาทหลวงก็เป็นเหมือนลุงของภรรยา เขาก็ถามเรา “ความรักคืออะไร” เราก็บอกว่าความรักคือการที่เรารักใครสักคนหนึ่งแล้วดูแลเขา ขยันทำงาน หาสตางค์เลี้ยงครอบครัว พอตอบเสร็จ เขาก็หันไปคุยกับภรรยาผมว่า เออ คนนี้ปกตินะ
ถ้าถามในวันนี้ว่าความรักคืออะไร คุณยังจะตอบเหมือนเดิมไหม
เหมือนเดิมครับ วันนี้ผมมองว่าความรักคือการที่เรารักใครสักคน ได้อยู่ด้วยกัน เข้าใจกันและกัน หาสตางค์มาเลี้ยงดูกันและกัน
วันแรกกับวันนี้ ยังมองภรรยาสวยเท่าเดิมไหมครับ
สวยเหมือนเดิมครับ ภรรยาผมสวยทุกวันเลย จริงๆ
ไม่ใช่ว่าตอนจีบกันแรกๆ มองว่าสวย เดี๋ยวนี้พอตื่นนอนเจอตอนเช้า…
โฮ้โห ผมคัดมาอย่างดี เขาแจ่มตลอดเวลาจริงๆ ตื่นยังสวย ไม่แต่งหน้าก็สวย แล้วผมก็บอกเขาอย่างนี้ตลอด
เพราะความไม่เพอร์เฟกต์ที่ทำให้เราแก้ไข เราปรับเปลี่ยน เรียนรู้ มีไหวพริบว่าถ้าเจอเรื่องแบบนี้ เราจะรับมือแบบนี้ ผมเลยไม่อยากกลับไปแก้ไขอะไร ชีวิตของเรามันสวยงามของมันอยู่แล้ว
วันนี้กลายเป็นคุณพ่อลูกสามไปแล้ว ลองย้อนกลับไปเล่าความรู้สึกตอนรู้ว่าภรรยาท้องลูกชายคนแรกสักหน่อยครับ
โอ้โห ตกใจครับ ดีใจ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เหมือนเราเองก็วัยรุ่น อยู่กันสองคน มีงานคอนเสิร์ตเราก็ไปด้วยกัน วันที่ไม่มีงานเราก็ไปหาร้านอาหารกินกันสองคน แล้วสำหรับเราก็รู้สึกว่านี่คือเรื่องปกติของชีวิตคู่ แต่วันหนึ่งพอจะมีลูก เฮ้ย เราสร้างลูกได้ด้วยเหรอ คือมันก็ค่อยๆ เริ่มจากไปอัลตราซาวด์ เริ่มเห็นเป็นตัว ค่อยๆ มีหัวใจเต้น เริ่มพัฒนาเป็นหน้า เป็นตา รู้สึกว่าลูกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ว่าทำไมเราถึงสร้างสิ่งนี้ออกมาได้
คิดตั้งแต่วันแรกเลยไหมว่าจะเป็นคุณพ่อแบบไหน
ใช่ คิดเหมือนกันครับว่า เฮ้ย เราจะเลี้ยงลูกอย่างไร ขนาดเรายังเอาตัวไม่รอดแล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไร แต่พอเวลาค่อยๆ ผ่านไป คือภรรยาเราท้องเก้าเดือน ตอนเดือนแรกเราก็กังวลนะ เดือนสองก็กังวลว่าเขาจะแข็งแรงไหม โตมาจะเป็นอะไร เราจะเลี้ยงอย่างไร ซื้อหนังสือมาอ่านเต็มเลย รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง อ่านไปสามเดือนเริ่มสงบ ลูกยังไม่ออกเลย ภรรยาท้องสามเดือนเองจะกังวลอะไรนักหนา ผมรู้สึกว่าลูกให้เวลาเราตั้งเก้าเดือน พอถึงเวลาครบเก้าเดือน ลูกคลอดออกมาก็รู้สึกมหัศจรรย์อีก เราเห็นเขาออกมาเป็นตัวคน หน้าตาก็เหมือนจะคล้ายเรา มันแปลกๆ เหมือนกันนะ
ความฝันเรามีได้ ตั้งไว้ได้ แต่ผมไม่อยากเอาความสุขไปแขวนไว้ว่าต้องไปถึงตรงจุดนั้น ตรงจุดนี้ แล้วถึงจะแฮปปี้ เราแฮปปี้ตรงนี้ก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อไปถึงตรงที่ฝันแล้วค่อยแฮปปี้กับมันอีกรอบก็ได้เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นเวลาลูกใครเขาคลอดออกมาแล้วเขานั่งดูลูก ผมก็งงว่าจะดูอะไรนักหนา ปล่อยให้หมอเขาทำงานไปไหม นั่งจ้องอยู่นั่นแหละ เหมือนคนนั่งดูทีวี 4-5 ชั่วโมง เพียงแต่เปลี่ยนไปดูเด็กทารก แต่พอเจอกับตัวเองมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เราอยากนั่งดู วิเคราะห์ว่าหน้าตามันคล้ายเราไหม นั่งดูอยู่อย่างนั้นแหละ
ตอนนั้นเห่ออย่างเดียว เหมือนได้ของเล่น ตอนนั้นยังไม่ได้คิดหรอกว่าลูกจะเป็นอะไร จะพาลูกไปทางไหน คือรู้สึกเท่ที่มีลูก (ยิ้ม) เพื่อนก็มายินดีที่เป็นพ่อ มีคนเรียกเราว่าเป็นพ่อ มันแปลกนะ
ย้อนไปก่อนลูกจะคลอดสักสองอาทิตย์ ผมเอารถไปเปลี่ยนยาง บอกช่างว่าเปลี่ยนดีๆ นะพี่เดี๋ยวผมเอาไปรับลูก พูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่ามันเท่ มันมีความเห่อ รู้สึกดีใจ ยังไม่ได้คิดเรื่องอนาคต แต่หลังจากลูกคลอดออกมาสักสองอาทิตย์ เราเริ่มกลับมากังวลว่าลูกจะเรียนที่ไหน ส่งเรียนอย่างไร จะเลี้ยงอย่างไร ไอแพดให้ดูได้ไหม เพราะถ้าให้ดูเขาบอกกันว่าเด็กจะสมาธิสั้น คิดไปเรื่อย
แต่หลังจากผ่านไปสักพัก ผมก็ใช้วิธี ถ้างั้นเราก็ค่อยๆ โตไปพร้อมกับลูกแล้วกัน ลูกคือลูกอายุหนึ่งขวบ ส่วนเราก็เป็นพ่อที่มีประสบการณ์หนึ่งขวบ ค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่างตอนนี้ลูกอายุห้าขวบ ผมก็เป็นพ่อที่มีประสบการณ์ห้าขวบ จะไปเทียบกับพ่อที่มีประสบการณ์สิบห้าขวบก็ไม่ได้ สรุปสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก
ความสำเร็จคืออะไร คำตอบที่ผมได้ ผมว่าความสำเร็จก็คือ การที่เราได้อยู่กับสิ่งนั้นๆ แล้วมันทำให้เรามีความสุข
ถ้าย้อนเวลากลับไปนับหนึ่งใหม่ได้ หรือเริ่มต้นใหม่ได้แบบในภาพยนตร์ About Time คุณอยากกรอกลับไปแก้ไขความผิดพลาดอะไรในชีวิตบ้างไหม
ผมไม่น่าจะไปแก้อะไร คือชีวิตมันมีข้อผิดพลาดบ้างแหละ แต่ผมว่าในข้อผิดพลาดมันก็ทำให้เป็นเราในวันนี้ ทุกวันนี้ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นก็ตาม ผมรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสวยงามหมด เพราะมันทำให้เราเป็นเราในวันนี้
ถ้าเรากลับไปแก้ได้ โอ้โห แก้หลายอย่างเลย แต่ถ้าทุกอย่างมันเพอร์เฟกต์หมด เราก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในชีวิต และเพราะความไม่เพอร์เฟกต์ที่ทำให้เราแก้ไข เราปรับเปลี่ยน เรียนรู้ มีไหวพริบว่าถ้าเจอเรื่องแบบนี้ เราจะรับมือแบบนี้ ผมเลยไม่อยากกลับไปแก้ไขอะไร ชีวิตของเรามันสวยงามของมันอยู่แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณห้าปีที่แล้ว ผมเคยไปเล่นคอนเสิร์ตติดกัน 4-5 วัน วันแรกนี่คนเต็มเลย เพราะมันเป็นเฟสติวัลไง เคยเห็นทะเลดาวไหมที่ศิลปินเขาชอบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแฟลช ทะเลดาว โอ้ สวยงาม (ยิ้ม) มันคือความเฟอร์เฟกต์ แล้วเราก็จะยึดติดมันว่าเราอยากเสพแบบนี้อีก
วันต่อมาเราไปเล่นในร้าน แล้วคนก็ไม่ได้เยอะมาก มีไฟเหมือนกันนะ แต่ประมาณห้าดวง ช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกว่าอยากจะทำให้มันเพอร์เฟกต์ อยากเอาชนะ แต่พอเวลาผ่านไป จำได้ว่างานวันนั้นมีผู้ชมชูไฟริบหรี่ๆ อยู่ประมาณ 6-7 ดวง ผมก็เลยบอกว่าลองหันไปดูครับ สวยงาม (หัวเราะ) คนดูเขาก็ขำกัน คือมันขำก็จริง แต่ผมรู้สึกว่าอันนี้แหละสวย มันสวยงามของมันแบบนั้น เพราะมันทำให้เรารู้ว่าชีวิตนักดนตรีมันมีไฟแบบนี้อยู่ด้วยนะ ไม่ว่าไฟมากหรือไฟน้อย เราแค่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุข เห็นมันเป็นสิ่งสวยงาม แล้วเดี๋ยววันพรุ่งนี้มันอาจจะมีไฟเยอะๆ ก็ได้
ย้อนกลับนับหนึ่งใหม่ที่วันเริ่มต้น ขอสักหนึ่งบทเพลงที่เป็นซาวด์แทร็กชีวิตของสิงโต นำโชค ในวัยหนุ่มหน่อยครับ
พอถามแบบนี้ขึ้นมา ผมก็เลยนึกไปถึงเพลงแรกที่ผมได้ยินแล้วรู้สึกว่าไฟที่อยากเป็นนักดนตรีมันลุกมาเลยก็คือเพลง ‘ใจสั่งมา’ ของพี่เสก โลโซ คือได้ยินแล้วรู้สึกว่าเราต้องเป็นนักดนตรี เราต้องดีดกีตาร์ เราต้องร้องเพลง
ตอนนั้นผมทำงานอยู่ในโรงงาน วงโลโซออกอัลบั้ม Rock & Roll (2542) แล้วมีเพลง ใจสั่งมา มันเป็นช่วงที่เราเริ่มจะเล่นกีตาร์ได้ค่อนข้างโอเค พอเล่นได้แล้วรู้สึกมีหวัง
เฮ้ย ทำไมเราเล่นกีตาร์เก่งอย่างนี้ แต่ความจริงคือเพลงนี้คอร์ดมันง่าย (หัวเราะ) เราก็เลยรู้สึกว่าเราเล่นกีตาร์เก่งแล้ว
ผมเคยหนีงานไปดูฟรีคอนเสิร์ตพี่เสกที่ MCC Hall เดอะมอลล์ บางแค นั่งรถเมล์ไปเลย แต่สรุปว่าไปไม่ทัน เพราะคนมันเต็ม รปภ. เขาก็ปิดประตูไม่ให้เข้า หลังจากนั้นผมก็เลยยืนอยู่ตรงประตู พอมีคนเดินออกมาเราก็เหลือบมองทะลุไปเห็นพี่เสกตัวเล็กๆ ถือกีตาร์กำลังวิ่งๆ อยู่บนเวที โอ้โห ประทับใจ (หัวเราะ) นั่นคือการเจอกันครั้งแรก ตอนผมอายุประมาณ 15-16 แล้วหลังจากนั้นก็มาเจออีกทีตอนอายุ 33 พี่เสกเขาเชิญไปเล่นในคอนเสิร์ต 40 ปี เสก โลโซ (40 แต่รู้สึกเหมือน 14)
ถ้าไม่มีพี่เสก ผมคิดว่าผมไม่น่าจะได้เป็นนักร้องนะ คือตอนนั้นเห็นพี่เสกแล้วมันเห็นภาพ เรารู้สึกว่าเรามีความหวัง เรามีความฝัน ตอนนั้นฝันมันพุ่งปรี๊ดเลย แล้วก็ตอบคำถามตัวเองว่า ถ้าอยากเป็นแบบนั้นเราก็ต้องฝึกกีตาร์ ไปเล่นดนตรีในผับ แต่จริงๆ คือผมอยากออกเทป
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้ขึ้นเวทีไปเล่นคอนเสิร์ตกับนักร้อง นักดนตรีที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินแบบในวันนี้
ถ้าไม่มีพี่เสก ผมคิดว่าผมไม่น่าจะได้เป็นนักร้องนะ คือตอนนั้นเห็นพี่เสกแล้วมันเห็นภาพ เรารู้สึกว่าเรามีความหวัง เรามีความฝัน ตอนนั้นฝันมันพุ่งปรี๊ดเลย แล้วก็ตอบคำถามตัวเองว่า ถ้าอยากเป็นแบบนั้นเราก็ต้องฝึกกีตาร์ ไปเล่นดนตรีในผับ แต่จริงๆ คือผมอยากออกเทปนั่นแหละครับ แต่เราก็ต้องมองความฝันกับความจริงควบคู่กันไป ตอนนั้นเลยยังไม่ได้หวังอะไรมาก ขอแค่ได้เล่นดนตรีในผับ ผมมีความสุขแล้ว
คือช่วงหนึ่ง ผมเคยไม่มีความสุข ตอนนั้นเล่นดนตรีอาชีพแล้วนะครับ ได้เงินเดือนสามหมื่นกว่า แต่รู้สึกว่ายังไม่พอใจ รู้สึกไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่าต้องได้ออกเทปถึงจะมีความสุข ทั้งๆ ที่วันแรกเล่นดนตรีได้เงินมา 120 บาทก็ดีใจมากแล้ว
ตอนนั้นเรารู้สึกว่า เฮ้ย เรามีความสุขตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ เราประสบความสำเร็จตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ ส่วนไอ้เรื่องออกเทป เดี๋ยวค่อยๆ ตามหามันได้ไหม สุขกับมันตรงนี้ก่อน ลองถามตัวเองก่อนว่าความสำเร็จคืออะไร คำตอบที่ผมได้ ผมว่าความสำเร็จก็คือ การที่เราได้อยู่กับสิ่งนั้นๆ แล้วมันทำให้เรามีความสุข
ความฝันเรามีได้ ตั้งไว้ได้ แต่ผมไม่อยากเอาความสุขไปแขวนไว้ว่าต้องไปถึงตรงจุดนั้น ตรงจุดนี้ แล้วถึงจะแฮปปี้ เราแฮปปี้ตรงนี้ก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อไปถึงตรงที่ฝันแล้วค่อยแฮปปี้กับมันอีกรอบก็ได้เหมือนกัน
ข้างนอกมันคือหน้าที่การงาน แต่พอกลับเข้ามาในบ้าน เราต้องทำหน้าที่เป็นพ่อ เป็นสามีที่ต้องคอยดูแลภรรยา กลับบ้านมาดึกๆ ดื่นๆ ไฟก็เปิดไม่ได้เพราะลูกกำลังจะหลับ เริ่มเรียนรู้ เริ่มแยกแยะออกว่า ที่ที่เราเล่นดนตรีคือที่ไหน ที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่จริงๆ คืออะไร
แล้ววันหนึ่งพอ สิงโต นำโชค ได้มาออกเทปจริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง
พอได้ออกเทปจริงๆ มันก็แฮปปี้มาก มีความสุข คือจากที่เราเล่นดนตรีในผับ มีคนดูประมาณ 10-20 คน ทีนี้มันก็เป็นโจทย์ใหม่หมดเลย มีคนดูเยอะมาก ยิ่งในเฟสติวัลคนดูก็ยิ่งเยอะ เพลงที่เล่นก็ไม่ใช่เพลงคนอื่นแล้ว แต่เป็นเพลงของเราหมด มันเหมือนเป็นบทเรียนใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นใหม่อีกจุดหนึ่งของชีวิต
ผมว่าผมโชคดีที่ผมค่อยๆ มา เพลงมันค่อยๆ เป็นที่รู้จัก ชีวิตนักดนตรีมันเลยค่อยๆ มีเรื่องให้ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าถ้าอยู่ดีๆ แล้วผมดังเปรี้ยงเลยเนี่ย ผมพังได้เลย
ผมว่านะ จริงๆ การทำอัลบั้มหรือการอยู่ในวงการเนี่ย จิตใจสำคัญมากเลย สมมติว่าเราไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วคนรุมขอถ่ายรูป รู้สึกว่าเทพมากเลย เรามันดังจริงๆ นั่งรถเมล์ไม่ได้แล้ว ขึ้นแท็กซี่แล้วกัน แต่พอเดินเข้าซอย ไม่มีใครรู้จักเลย ป้าร้านขายส้มตำไม่รู้จัก เดินผ่านวินมอเตอร์ไซค์ ทำไมไม่ทักเรา พอเจอแบบนี้มันก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่า อ๋อ ชื่อเสียงมันเป็นบางทีเนอะ แฟนเพลงที่มารอ เขาเป็นแค่คนบางกลุ่ม ไม่ใช่คนทั่วประเทศที่อยากมาถ่ายรูป เรายังปกติอยู่นะ อย่าเพิ่งไปคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่
ยกตัวอย่างอีกเรื่อง ผมเคยไปเล่นคอนเสิร์ต คนดูเยอะมาก ยืนถ่ายรูปกับแฟนเพลงอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า รู้สึกว่าเราเนี่ยคือคิง! เราแม่งเป็นสุดยอดของวงการดนตรี แต่พอกลับไปถึงบ้าน เปิดประตูหน้าบ้าน คิงกำลังเดินเข้าบ้าน ภรรยาตะโกนมา “ลูกกำลังจะหลับแล้ว ปิดไฟด้วย!” คิงหายเลย (หัวเราะ)
มันก็ได้เรียนรู้อีกว่า ข้างนอกมันคือหน้าที่การงาน แต่พอกลับเข้ามาในบ้าน เราต้องทำหน้าที่เป็นพ่อ เป็นสามีที่ต้องคอยดูแลภรรยา กลับบ้านมาดึกๆ ดื่นๆ ไฟก็เปิดไม่ได้เพราะลูกกำลังจะหลับ เริ่มเรียนรู้ เริ่มแยกแยะออกว่า ที่ที่เราเล่นดนตรีคือที่ไหน ที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่จริงๆ คืออะไร
ดนตรีให้ผมทั้งชีวิตเลย ตั้งแต่อายุสิบสอง ชีวิตผมก็มีแต่ดนตรีมาโดยตลอด ไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่มีแผนสำรองเผื่อไว้ว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีจะไปทำอย่างอื่น ไม่มี ผมไม่มีอย่างอื่นที่ชอบ
ถ้าอย่างนั้นทุกวันนี้อะไรคือความสุขของการเป็นนักดนตรี
ทุกวันนี้ไม่ว่าอะไรจะอยู่ตรงหน้า ผมทำตรงนี้ให้ดีที่สุด วันนี้มีคนดูห้าคน เราก็จะทำให้คนดูห้าคนมีความสุขที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเราต้องมีความสุขด้วยนะ ไม่ใช่คิดว่าฉันจะทำให้ทั้งห้าคนมีความสุขที่สุด แต่ถึงเวลาตัวเองก็กลับบ้านไปเศร้า
การมีคนดูห้าคนคือความสวยงามของการมีคนดูห้าคน เป้าของผมมีแค่นี้เลย คือมีความสุขกับปัจจุบัน อะไรที่เกิดขึ้นอยู่ ไม่ว่ามันจะเพอร์เฟกต์ หรือไม่ค่อยเฟอร์เฟกต์ แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันคือความสวยงามหมด
จากวันแรกๆ ที่ฝึกกีตาร์ ฟังเพลงใจสั่งมา แล้วคิดว่าสักวันจะออกเทป จนถึงวันนี้คุณคิดว่าดนตรีให้อะไรกับคุณบ้าง
ดนตรีให้ผมทั้งชีวิตเลย ตั้งแต่อายุสิบสอง ชีวิตผมก็มีแต่ดนตรีมาโดยตลอด ไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่มีแผนสำรองเผื่อไว้ว่าถ้าไม่ประสบความสำเร็จทางด้านดนตรีจะไปทำอย่างอื่น ไม่มี ผมไม่มีอย่างอื่นที่ชอบ
ตั้งแต่อายุสิบสอง ความสุขของผมคือร้านขายเครื่องดนตรี สถานที่ที่ได้เล่นดนตรี ห้องซ้อมดนตรี ทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรีหมด
ทุกวันนี้เป็นปัญหามาก เพราะว่าเวลาไปรายการต่างๆ เขาถามว่ามีงานอดิเรกอื่นๆ ไหม เขาอยากจะสัมภาษณ์อย่างอื่นบ้างที่ไม่ใช่ดนตรี แต่มันไม่มีไง คือชีวิตมีแต่ดนตรี เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าดนตรีให้ชีวิตผมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเลี้ยงดูชีวิตผมและคนในครอบครัว ตอนเด็กๆ อยากไปเมืองนอกมาก ดนตรีก็พาผมไป ดนตรีพาไปเจอภรรยา แล้วก็ได้มีลูก ผมได้ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ดนตรีพามาหมดเลย
ผมโชคดีมากที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วก็ลงมือทำ แล้วพอลงมือทำก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทุกวันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ทำงาน เหมือนเราได้ไปเที่ยว ไปสนุกอยู่ตลอดเวลา
ทุกวันนี้ไม่ว่าอะไรจะอยู่ตรงหน้า ผมทำตรงนี้ให้ดีที่สุด วันนี้มีคนดูห้าคน เราก็จะทำให้คนดูห้าคนมีความสุขที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเราต้องมีความสุขด้วยนะ ไม่ใช่คิดว่าฉันจะทำให้ทั้งห้าคนมีความสุขที่สุด แต่ถึงเวลาตัวเองก็กลับบ้านไปเศร้า
นักดนตรีนี่เคยเบื่อการเล่นดนตรีบ้างไหม
ไม่เคยเลยนะ อันนี้ซีเรียสเลยนะ ผมพยายามจับความรู้สึกว่า เออ เราเบื่อดนตรีบ้างไหม สุดท้ายแล้วเนี่ย พอไม่ได้เล่นสัก 2-3 วันมันเริ่ม…สุดท้ายแล้วก็ต้องไปหยิบกีตาร์มานั่งเล่น ผมว่ามันเป็นส่วนหนึ่งไปแล้ว มันแยกไม่ออกแล้วระหว่างผมกับดนตรี มันเต็ม มันอยู่รวมกันไปหมด
เห็นว่าอัลบั้มนี้คุณจะกลับไปเล่นดนตรีเหมือนสิงโต นำโชค ในอัลบั้มแรก ตรงนี้ตั้งใจอะไรไว้
จริงๆ ก็ไม่สามารถกลับไปเหมือนอัลบั้มแรกได้หรอกครับ ผมรู้สึกว่าอัลบั้มแรกมีได้อัลบั้มเดียว ทุกอย่างในชีวิตมันเติบโตมาในช่วงเวลาของมัน และมันสวยงามหมดในช่วงเวลานั้น เราไม่สามารถกลับไปทำอะไรแบบเดิมได้ สุดท้ายแล้วเนี่ย มันคือรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในทุกอัลบั้ม เพื่อมาอยู่ในอัลบั้มล่าสุดของผมมากกว่า
ความรู้สึกในการเล่นเพลงทิ้งในวันนั้น กับการเล่นเพลงทิ้งในวันนี้ต่างกันอย่างไรบ้าง
ต่างครับ คือเล่นเพลงทิ้งในวันนั้นเนี่ย ยังไม่ค่อยชำนาญเท่าไร (หัวเราะ) จะมีหลุดบ้าง เพราะโปรดิวเซอร์ผม (Kijjaz Monotone ชื่อจริง กิจจาศักดิ์ ตริยานนท์) เขาวางยาไว้เยอะ เขาสร้างเพลงสร้างอะไรได้เก่งมาก แต่ทุกวันนี้ผมชำนาญแล้วครับ ทุกวันนี้ผมหลับตาเล่นได้เลยครับ นี่คือความแตกต่าง แต่ยังสนุกเหมือนเดิม
เป้าของผมมีแค่นี้เลย คือมีความสุขกับปัจจุบัน อะไรที่เกิดขึ้นอยู่ ไม่ว่ามันจะเพอร์เฟกต์หรือไม่ค่อยเฟอร์เฟกต์ แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันคือความสวยงามหมด
คุณเล่นอูคูเลเลครั้งล่าสุดเมื่อไร
เมื่อคืนครับ ทุกวันนี้ก็ยังเล่นอยู่ ทุกวันนี้ในคอนเสิร์ตก็ยังเล่นอยู่ตลอด แต่ด้วยความที่คนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นในรายการทีวีอย่างเมื่อก่อน จริงๆ ออกอัลบั้มแรก ผมก็เล่นกีตาร์โปร่งนี่แหละครับ แล้วในอัลบั้มก็จะมีอูคูเลเลอยู่สองเพลง แต่ด้วยความที่อูคูเลเลมันฮิตพอดี ผมหิ้วกีตาร์ไปออกรายการ เขาก็ไม่ให้เล่น บอกว่าไม่เอาๆ เล่นอูคูเลเล คือผมก็กลัวจะไม่ได้ออกทีวี ก็เลยต้องเล่น คนก็เลยติดภาพสิงโต นำโชค กับอูคูเลเล
จนวันหนึ่งอูคูเลเลมันก็ไม่ฮิต ผมก็ได้เล่นกีตาร์ เพราะส่วนมากเพลงในอัลบั้มจะใช้กีตาร์ เขาก็เห็นผมเล่นกีตาร์ แล้วก็ไม่ได้เห็นผมเล่นอูคูเลเลออกทีวี คนก็จะเริ่มกลับมาสงสัยว่า อ้าว สิงโตไม่เล่นอูคูเลเลแล้วเหรอ แต่ความจริงคือยังเล่นอยู่ตามปกติ
แล้วถ้าวันหนึ่ง สิงโต นำโชค ไม่ฮิตแล้ว เหมือนอูคูเลเล
มันเป็นเรื่องปกติครับ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันมีเกิดขึ้น เติบโต แก่ เป็นวัฏจักร ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน แบรนด์สินค้าต่างๆ ฯลฯ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สุดท้ายก็เป็นอย่างที่ผมบอกอยู่เสมอ คือเราควรจะมีความสุขกับช่วงเวลาของมัน แค่นั้นพอแล้ว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์