ถึงแม้ว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังพบผู้ติดเชื้อโดยรวมสูงอยู่ แต่ก็เป็นผลมาจากปฏิบัติการตรวจหาเชิงรุกของภาครัฐ ขณะเดียวกัน แนวโน้มสถานการณ์ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดที่เคยมีการแพร่ระบาดสูงก็เริ่มดีขึ้น เห็นได้จากการขยายเวลาการเปิดให้บริการร้านอาหาร การประกาศคลายล็อกธุรกิจ 37 กิจการของ กทม. และการอนุมัติให้ศูนย์การค้ากลับมาเปิดให้บริการตามปกติในจังหวัดสมุทรสาคร และระยอง เป็นต้น
จะเกิดอะไรขึ้น หากโควิด-19 อาจจะต้องอยู่กับโลกเราไปอีกนาน และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะไม่หนักหน่วงเท่ารอบแรก เนื่องจากคนเริ่มปรับตัวกับการใช้ชีวิตแบบ New Normal และรัฐบาลประกาศให้มีการล็อกดาวน์ในบางจุดและบางธุรกิจเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ทุกธุรกิจก็ต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด เพื่อรองรับการออกมาใช้ชีวิตของผู้คน ออกมาทำงาน ทานข้าวนอกบ้าน และซื้อของใช้จำเป็น
กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า แม้จะไม่มีประกาศปิดสถานที่เหมือนรอบแรก แต่ในสถานการณ์ที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่า มีผลกระทบต่อทราฟฟิกของลูกค้าที่มาใช้บริการไม่มากก็น้อย
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน หลังรัฐบาลประกาศคลายล็อกธุรกิจ 37 กิจการ และศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งที่อยู่ในพื้นที่ที่เคยมีการแพร่ระบาดสูงอย่าง เซ็นทรัลพลาซา มหาชัย และระยอง ได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้ง รวมถึงการปรับเวลาให้บริการศูนย์การค้าทั่วประเทศเปิดได้นานขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีรับต้นปีให้แก่ภาคธุรกิจทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้การคุมเข้มยกระดับมาตรการขั้นสูงสุดอย่างต่อเนื่อง การ์ดไม่ตก เพื่อช่วยกันเปลี่ยนตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในไทยให้กลับมาที่ศูนย์อีกครั้ง
“ที่ผ่านมา การปิดให้บริการชั่วคราว และเปิดเพียงบางส่วนในจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดต่อเนื่อง ย่อมส่งผลต่อปริมาณลูกค้า แต่หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน เมื่อศูนย์ฯ ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้ง ก็เป็นสัญญาณบวกให้เห็นว่า ทราฟฟิกลูกค้าโดยรวมจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน”
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การรักษามาตรฐานที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเดินหน้ายกระดับมาตรการแผนแม่บท ‘เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ’ ยกการ์ดสูงสุดทั่วไทย ที่เราเป็นผู้ริเริ่มตั้งแต่ล็อกดาวน์ครั้งแรก และยังไม่เคยหยุดพัฒนามาตรการต่างๆ โดยทุกศูนย์การค้าได้คุมเข้มด้านความสะอาด และความปลอดภัยในร้านค้า และพื้นที่ส่วนกลางใน 5 แกนหลัก ได้แก่ 1. การคัดกรองอย่างเข้มงวด 2. มาตรฐาน Social Distancing ทุกจุด 3. การติดตามเพื่อความปลอดภัย 4. การใส่ใจในความสะอาดทุกจุดสัมผัส และ 5. แนวทางลดการสัมผัส (Touchless)
ยกระดับแผนแม่บท ‘เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ’ ขั้นสูงสุดด้วยมาตรการเชิงรุกคุ้มเข้มยิ่งขึ้น ‘รายละเอียดคือหัวใจสำคัญ’ ทำความสะอาดตลอดเวลา ลงลึกทุกจุด ที่คุณคิดไม่ถึง แต่เราคิดถึง
หากประเด็นสำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า การนำมาตรการ 5 แกนหลักมาคุมเข้มด้านความสะอาดและปลอดภัย จึงต้องผสานความร่วมมือกันระหว่างศูนย์การค้าฯ และพันธมิตรผู้เช่าร้านค้าภายในศูนย์ เพื่อสร้างความมั่นใจไปพร้อมกับอำนวยสะดวก เพื่อให้ประชาชนออกมาใช้บริการที่จำเป็น ภายใต้กรอบข้อกำหนดที่ชัดเจนของรัฐ เช่น ออกมารับประทานอาหารนอกบ้านได้ตามเวลาที่รัฐกำหนด โดยอยู่ภายใต้มาตรการคุมเข้ม ที่ได้รับความร่วมมือจากร้านค้าในศูนย์ช่วยกันยกระดับมาตรการ
แข็งแกร่งด้วยแผนรับมือเชิงรุกที่เป็นระบบ ต่อเนื่อง และทีมงานที่ดี ด้วยจำนวนสาขาทั้งหมด 33 แห่งทั่วประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย และทำให้มาตรการมีการอัปเดตมาเสริมแกร่งตลอดเวลา
ดร.ณัฐกิตติ์ ย้ำชัดว่า เซ็นทรัลพัฒนาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเรามีสาขาอยู่ทั่วประเทศ จึงมีการคาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้า และวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ ส่งผลให้ที่ผ่านมาศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั้ง 33 สาขา อัปเดตมาตรการยกระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นสูงสุดในปัจจุบัน
“ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั้ง 33 สาขา เรามีมาตรการที่ดี ระบบที่ดี ทีมงานที่ดี แม้เกิดการระบาดระลอกใหม่ แต่ด้วยการรักษามาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ทำให้รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้อย่างมืออาชีพ พร้อมทั้งยกระดับมาตรการทุกอย่างให้เข้มข้นขึ้น ด้วยการลงลึกรายละเอียดมากขึ้น เพิ่มความถี่ในทุกดีเทล ทุกจุดเล็กๆ ที่หลายคนนึกไม่ถึง เช่น จากเดิมเช็ดถูจุดสัมผัสทุก 30 นาที เป็น เช็ดทำความสะอาดตลอดเวลา บริเวณห้องน้ำที่เป็นจุดที่มีการสัมผัสร่วมสูง ก็เพิ่มความถี่การทำความสะอาดของแม่บ้านให้มากขึ้น หรือแม้กระทั่งในจุดต่างๆ ที่เป็นผิวสัมผัสจากมุมมองของเด็กๆ อย่างราวระเบียง ประตู ราวจับด้านล่าง ก็เป็นจุดที่เราคำนึงถึง และใส่ใจในการทำความสะอาดตลอดเวลาเช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ เราได้เพิ่มความเข้มงวดในการอบรมพนักงานให้เข้าใจมาตรการต่างๆอย่างละเอียด และช่วยดูแลให้ลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในศูนย์การค้าปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง รวมไปถึงเรื่องความสะอาด อย่างเช่น การฆ่าเชื้อในระบบปรับอากาศของศูนย์การค้าด้วยแสง UV-C ตลอดเวลา การตรวจสอบและควบคุมอุณหภูมิ และดูแลความชื้นของระบบปรับอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐาน และการทำ Big Cleaning ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหลังศูนย์ปิดทุกวันต่อเนื่อง โดยเฉพาะในห้องน้ำ แม่บ้านจะต้องทำความสะอาดไม่ใช่แค่เพียงโถสุขภัณฑ์ แต่ทำความสะอาดห้องน้ำทั้งห้อง และปิดไว้จนกระทั่งศูนย์การค้าเปิดให้บริการในวันถัดไป
อย่างไรก็ตาม เซ็นทรัลพัฒนามองว่าธุรกิจร้านอาหารภายในศูนย์การค้าในบางรูปแบบ เช่น บุฟเฟต์ ร้านอาหารสำหรับครอบครัว หรือแม้แต่ร้านอาหารที่ต้องนั่งรับประทานภายในร้าน ยิ่งต้องยกระดับมาตรการด้านความสะอาดปลอดภัยสูงสุดให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น หน้าร้านที่มองเห็นว่าสะอาดแล้ว หลังร้าน ในครัวก็ต้องยิ่งสะอาดเช่นกัน อาทิ การแบ่งพนักงานเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ต้องบริการใกล้ชิดลูกค้า กลับกลุ่มทำงานหลังร้าน ซึ่งพนักงานทั้งสองกลุ่มนี้จะต้องหลีกเลี่ยงการพบปะหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เข้มงวดพนักงานใกล้ชิดลูกค้าต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอด สวม Face Shield สวมถุงมืออนามัย และจัดให้ Table Shield ต้องสูงจากพื้นโต๊ะอาหารไม่น้อยกว่า 1 เมตร ลดและเลี่ยงการสัมผัสด้วยการใช้ Scanned Menu และ Cashless Payment และทำความสะอาดโต๊ะทันทีหลังลูกค้าใช้บริการ หากลูกค้ามาใช้บริการกลุ่มใหญ่ สามารถนั่งร่วมโต๊ะไม่เกิน 8 คน โดยจัดอุปกรณ์รับประทานอาหารเป็นชุดใส่ถุงพลาสติก 1 ชุดต่อลูกค้า 1 ท่าน หรือหากเป็นร้านอาหารบุฟเฟต์ในจังหวัด หรือพื้นที่ที่ภาครัฐยังคงอนุญาตให้ดำเนินการได้ ต้องจัดให้มีถุงมือแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ให้กับลูกค้าที่มาตักบุฟเฟต์ หรือหยิบจับอาหารหรือภาชนะร่วมกัน ที่สำคัญต้องสแกน ‘ไทยชนะ’ จำกัดจำนวนลูกค้าเข้ามาภายในร้าน
พร้อมใจ ‘ยกการ์ดสูง’ ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือเต็มที่ หากภาครัฐช่วยเหลือ
คำถามต่อมาคือ หากผู้ประกอบการธุรกิจศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า รวมถึงภาคธุรกิจอื่นๆ ร่วมมือร่วมใจกันยกการ์ดสูงอีกครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การระบาดระลอกสองครั้งนี้ ภาครัฐจะช่วยเหลือเพิ่มเติมในส่วนใดได้บ้าง ดร.ณัฐกิตติ์เชื่อว่า สถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นในเร็ววัน ซึ่งมาตรการของรัฐที่ไม่ล็อกดาวน์ทั้งหมดนั้น ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพราะทำให้เศรษฐกิจของประเทศยังคงขับเคลื่อนไปได้ หากร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน เหมือนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 และไม่พบผู้ติดเชื้อเลยต่อเนื่อง 100 วัน เชื่อว่าจะต้องสำเร็จอีกครั้ง
แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่ ดร.ณัฐกิตติ์มองว่า คงต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ อันจะนำไปสู่สถานการณ์โดยรวมของประเทศที่ดีขึ้น
“ทั้งนี้ความช่วยเหลือจากภาครัฐที่มองว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชน และร้านค้าผู้ประกอบการทั่วไป เรื่องแรกคือ ด้านสาธารณสุข ซึ่งเป็นข่าวดีของคนไทยที่วัคซีนรอบแรกกำลังจะมาแล้ว เชื่อว่ารัฐกำลังจัดสรร และกำหนดโรดแมปในการจัดการวัคซีน แต่จะต้องทำให้ครอบคลุมเร็วที่สุด เพื่อควบคุมการระบาดระลอกใหม่ให้เร็วที่สุด”
“เรื่องต่อมาคือด้านเศรษฐกิจ เสนอให้รัฐกำหนดกรอบการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ชัดเจนต่อจากนี้ เช่น มาตรการผ่อนชำระหนี้ และพิจารณาลดภาษีทั้งภาคธุรกิจและประชาชน มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น”
ภาพรวมทิศทางธุรกิจปี 2564 ขึ้นอยู่กับ ‘การควมคุมผู้ติดเชื้อและการเข้าถึงวัคซีน’
อย่างไรก็ดี ดร.ณัฐกิตติ์คาดการณ์ว่า มีสองปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทิศทางธุรกิจในปี 2564 นั่นคือความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อ และการเข้าถึงวัคซีน หากสองปัจจัยนี้เกิดขึ้นได้ คาดว่าเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวประมาณ 50% รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเป็นรายได้ประมาณ 30% ของประเทศจะกลับมากระเตื้องขึ้น ทั้งหมดนี้ยังต้องการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เพื่อให้ธุรกิจใหญ่และเล็กรอดไปด้วยกัน
ทั้งนี้ เซ็นทรัลพัฒนามองสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นความท้าทายในการทำธุรกิจ จึงมีการปรับแผนช่วยเหลือเร่งด่วนทั้งระยะสั้น และการดูแลระยะยาวให้กับร้านค้าผู้เช่า สำหรับพนักงานของเซ็นทรัลพัฒนาให้ Work from Home พร้อมดูแลสวัสดิการ เงินเดือน และประกันสังคมเต็มที่ ในส่วนของผู้ถือหุ้น เตรียมแผนรักษาความต่อเนื่องธุรกิจ และการทบทวนแผนการลงทุน และสำคัญที่สุดคือ การสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการด้วยมาตรการความสะอาด และปลอดภัยที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
“เราปรับตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างมาตรการภายใต้แผนแม่บทเชิงรุก ‘เซ็นทรัล สะอาด มั่นใจ’ ก็ปรับแผน ยกระดับขั้นสูงสุด เพิ่มความมั่นใจไปกับทุกสถานการณ์ ด้านการดำเนินธุรกิจก็เตรียมพร้อมรองรับ Physical & Online Integration เช่น บริการ Chat & Shop หรือบริการช้อปให้ และให้ลูกค้าไดรฟ์-ทรูเพื่อรับสินค้าด้วยตนเอง รวมถึงพาร์ตเนอร์กับ Grab ส่งสินค้าถึงบ้าน
สำหรับกลยุทธ์ที่เซ็นทรัลพัฒนาเตรียมรับมือ รวมทั้งแผนการลงทุนในปีนี้ หากมองไปที่โครงสร้างการเงินถือว่า เซ็นทรัลพัฒนายังแข็งแกร่งมาก เนื่องด้วยมีการประเมินสถานการณ์และปรับแผนตลอด เน้นไปที่การควบคุมค่าใช้จ่าย การบริหารเรื่องรายได้ กำไร และการจัดการในเรื่องของการจ้างงาน
“ต้องบอกว่าเซ็นทรัลพัฒนาเป็นบริษัทอสังหาฯ ไทยที่มีความมั่นคงและยั่งยืน เราเป็นรายแรกและรายเดียวที่ติด DJSI World ต่อเนื่องปีที่ 3 (2020) เรื่องแผนการลงทุนยังคงเดินหน้าต่อ เน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย และกระจายรายได้
ส่วนแผนระยะยาวที่ได้ยินมาว่าในปี 2564 นี้ จะเปิดศูนย์การค้าสองแห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา ที่มีกำหนดเปิดในเดือนตุลาคม และเซ็นทรัลพลาซา อยุธยา มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ เซ็นทรัลพัฒนาย้ำชัดว่า เป็นไปตามแผนแน่นอน
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์