ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปว่า Generative AI คือหนึ่งในนวัตกรรมที่มาพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก ชัดเจนที่สุดคือ ‘วงการการตลาด’ แบรนด์ที่สามารถใช้ประโยชน์จาก Generative AI ได้อย่างชาญฉลาดและสร้างสรรค์ย่อมได้เปรียบคู่แข่งอย่างแน่นอน
Sertis ผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Data และ AI สัญชาติไทย ที่ส่งมอบบริการให้ลูกค้าในอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากว่าทศวรรษ จัดเวิร์กช็อปสุดพิเศษภายใต้หัวข้อ ‘Revolutionizing Marketing with Generative AI: ปฏิวัติการตลาดด้วย Generative AI’ ที่ออฟฟิศ Google Thailand ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาโซลูชันด้าน Data และ AI แก่ Sertis เสมอมา ซึ่งงานนี้ได้เชิญนักการตลาด ผู้นำด้านนวัตกรรม และผู้นำในภาคส่วนธุรกิจต่างๆ ที่ใช้บริการของ Google Cloud มาร่วมเรียนรู้การนำเครื่องมือ AI ไปช่วยทำงานด้านการตลาดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ธัชกรณ์ วชิรมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซอร์ทิส จำกัด ฉายภาพให้เห็นถึงบทบาทของ Generative AI ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้ลูกค้า และเพิ่มผลกำไรจากการลงทุนด้านการตลาดว่า “แม้เราจะคุ้นเคยกับการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับงานด้านการตลาด แต่ความเป็นจริงแล้วศักยภาพที่เราได้สัมผัสก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ยังมีความสามารถของ AI อีกมากที่ช่วยยกระดับและพัฒนางานด้านการตลาดให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้
“ปัจจุบันมีรายงานว่านักการตลาดกว่า 70% ใช้ AI ช่วยในการทำงาน แต่คำถามสำคัญคือ AI จะเข้ามาช่วยยกระดับการทำงานด้านการตลาดอย่างไร”
นอกเหนือจากความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำวิจัยตลาด ทำคอนเทนต์ ยิงโฆษณา ดูแลลูกค้า ไปจนถึงการทำรายงานเพื่อวิเคราะห์ผลตอบรับของแคมเปญต่างๆ ความพิเศษของเวิร์กช็อปนี้คือการพาไปเจาะลึกถึงศักยภาพของ AI ในการทำตลาดผ่าน Use Case จริง พร้อมทั้งนำเสนอให้เห็นถึงการนำ AI มาปรับใช้ ตั้งแต่การวางแผนกลยุทธ์ การสร้างเนื้อหาด้านการตลาด ไปจนถึงขั้นตอนในระดับปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปได้ทั้งความรู้เชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ สามารถประยุกต์ใช้ AI กับการทำงานจริงในองค์กรได้ รวมถึงภายในเวิร์กช็อปยังพาทุกคนไปรู้จักกับโซลูชันที่พัฒนาโดย Sertis ที่จะตอบโจทย์การทำงานข้างต้นได้อย่างตรงจุด
Strategic Level: Social Brand AI (SBAI)
ข้อมูลมากมายบนโลกโซเชียลทำให้แบรนด์เห็นว่ามีโอกาสอะไรที่น่าสนใจบ้าง ซึ่ง AI สามารถเข้ามาช่วยติดตาม วิเคราะห์เทรนด์บนโลกโซเชียล และเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาการตลาดของแบรนด์ในทุกมิติ
ธัชกรณ์ยกเคสแบรนด์ Stanley ที่มีรีแอ็กต่อวิกฤตแบบเรียลไทม์ จับเทรนด์มาสร้างประโยชน์ให้กับแบรนด์ตัวเอง หลังจากที่ผู้ใช้งาน TikTok โพสต์คลิปซากรถยนต์ของตัวเองที่ไฟไหม้ แต่แก้ว Stanley ที่อยู่ในรถยังสภาพดีแถมน้ำแข็งและเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้วยังเย็นเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
คลิปนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก มีผู้ชมมากกว่า 82 ล้านครั้ง สิ่งที่ Terence Reilly ประธานของ Stanley ทำก็คือเสนอซื้อรถยนต์คันใหม่ให้เจ้าของคลิป เพราะคลิปดังกล่าวสร้างความมั่นใจให้กับสินค้าของ Stanley ได้โดยที่แบรนด์ไม่ต้องออกแรงใดๆ ที่สำคัญผลของการรีแอ็กต่อวิกฤตครั้งนี้ทำให้มีผู้ติดตามโซเชียลมีเดียของแบรนด์เพิ่มขึ้น 200% และยอดขายพุ่งสูงถึง 275%
อีกหนึ่งตัวอย่างคือกรณีของแบรนด์ Apple ที่โดนดราม่าเกี่ยวกับหนังสั้นเรื่อง The Underdogs: OOO (Out Of Office) | Apple at Work เพราะทำให้คนไทยรู้สึกว่าถูกด้อยค่า Apple UK จึงตัดสินใจลบคลิปโฆษณาทันที วิกฤตดังกล่าวทำหุ้น Apple ตกลงไป 2.5% แต่หลังจากแบรนด์ตอบสนองต่อวิกฤตด้วยความรวดเร็ว จากนั้นไม่นานหุ้นก็พุ่งขึ้น
แต่กรณีที่ตอบสนองต่อวิกฤตช้าอย่าง Bud Light แบรนด์เบียร์จากสหรัฐอเมริกา จนเสียตำแหน่งแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมสูงสุดในตลาดสหรัฐอเมริกา หลังเจอกระแสต่อต้านหนักจากกลุ่มลูกค้าอนุรักษนิยม เมื่อแบรนด์เลือกทำแคมเปญโฆษณาร่วมกับ Dylan Mulvaney อินฟลูเอ็นเซอร์หญิงข้ามเพศ และกว่าจะออกมาจัดการกับวิกฤตนี้ก็ผ่านไป 10 วัน ส่งผลให้ยอดขายลดลงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“สิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียอะไร ต้องจับโอกาสให้ได้และตอบสนองต่อวิกฤตแบบเรียลไทม์” ธัชกรณ์กล่าว
เหนือสิ่งอื่นใด แบรนด์ต้องเก็บฟีดแบ็กทั้งแง่บวกและแง่ลบจากทุกช่องทาง ซึ่งการจะนำข้อมูลดิบจากแหล่งต่างๆ ที่หลากหลายให้มาอยู่ที่เดียวเพื่อวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำจำเป็นต้องใช้ AI เข้ามาช่วย
‘Social Brand AI’ เป็นโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย Generative AI พัฒนาโดย Sertis ประกอบด้วยฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่
- การมอนิเตอร์เทรนด์ใหม่ๆ บนโลกออนไลน์ ผ่านบทสนทนาที่กล่าวถึงแบรนด์ในคอนเทนต์ต่างๆ จุดเด่นคือสามารถตรวจจับและวิเคราะห์ภาพและวิดีโอได้ ข้อดีคือยิ่งเห็นเทรนด์เร็วเท่าไร ก็นำมาสร้างเป็นแคมเปญการตลาดได้ก่อนใคร
- การทำ Sentiment Analysis เพื่อเข้าใจและติดตามสถานการณ์ของลูกค้า รวมถึง Customer Trend Analysis เพื่อเข้าใจแนวโน้มของพฤติกรรมลูกค้า
- การตรวจจับเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบของแบรนด์และแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เพื่อปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์ หรือการนำสิ่งที่เกี่ยวกับแบรนด์ไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย โดยสามารถดูได้ทั้งบนโลกออนไลน์ ข่าวต่างๆ หรือดาร์กเว็บ ช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาและวิกฤตเพื่อจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“ฟีเจอร์เหล่านี้ตอบโจทย์ทั้งความเร็วและความสามารถในการหาโอกาสที่ใช่จากข้อมูลมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญในการทำตลาดยุคนี้” ธัชกรณ์กล่าว
Tactical Level: Marketing Material Generator
ธัชกรณ์กล่าวพร้อมฉายภาพข้อจำกัดของการทำงานในอดีตให้เห็นว่าการสร้างภาพกราฟิกอาจต้องใช้เวลา 1-3 วัน อีกทั้งคุณภาพอาจแปรผันไปตามระยะเวลาที่ได้รับและปริมาณงาน แต่ปัจจุบันทุกอย่างต้องเร็วเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
ธัชกรณ์กล่าวว่า “AI จะเข้ามาช่วยการทำงานเชิงสร้างสรรค์ทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณงานโดยไม่ลดทอนคุณภาพ โดยเฉพาะงานแคมเปญที่ต้องการความรวดเร็วและยังสามารถรักษาอัตลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างดี”
ปัจจุบันมีเครื่องมือ Generative AI ที่มีประสิทธิภาพมากมาย แต่ก็ตามมาด้วยราคาที่ไม่ตอบโจทย์องค์กรขนาดเล็ก หรือบางผลิตภัณฑ์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานในองค์กร
Sertis นำจุดบอดและข้อจำกัดต่างๆ มาพัฒนาเป็นเครื่องมือ Marketing Material Generator โดยจับมือกับ Gemini และ Imagen ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบภาพกราฟิกด้วย Generative AI ได้อย่างสวยงาม ถูกต้องตาม Corporate Identity (CI) ขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว ผ่านฟีเจอร์ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น
- Generative Artwork Generator ใช้ Generative AI ออกแบบภาพกราฟิก เพียงแค่อัปโหลดภาพสินค้าและป้อนคำสั่งรูปแบบภาพพื้นหลังที่ต้องการ นอกจากจะได้ภาพตรงตามโจทย์แล้ว ยังสามารถคิดแคปชันให้เข้ากับภาพได้อีกด้วย
- Preset Artwork Generator ปรับภาพสินค้าที่อัปโหลดให้อยู่ใน Template ที่ต้องการ มั่นใจได้ว่าจะถูกต้องตาม CI ไม่ว่าจะเป็นฟอนต์ รูปแบบ ตำแหน่งโลโก้ และภาพพื้นหลัง
“เครื่องมือนี้จะช่วยยกระดับการทำคอนเทนต์ทั้งเรื่องความเร็วและปริมาณงาน โดยยังคงรักษาคุณภาพของงานไว้ได้” ธัชกรณ์กล่าว
Operational Level: Knowledge Management AI
หลังจาก AI เข้ามาช่วยวางแผนกลยุทธ์และช่วยการทำงานในเชิงสร้างสรรค์ ก็ถึงขั้นตอนเรียนรู้การทำงานของแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย Large Language Model (LLM) ซึ่งจะมาช่วยปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ให้ดีขึ้น ลดเวลาในการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก จึงช่วยให้แบรนด์ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ธัชกรณ์กล่าวว่า “คำถามที่เราพบบ่อยคือจะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคอนเทนต์ทั้งหมดที่แบรนด์เคยทำได้อย่างไร ตั้งแต่ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของแคมเปญที่ผ่านมาไปจนถึงเอกสารของคนในองค์กร”
Sertis ได้พัฒนา Knowledge Management AI ระบบการจัดการข้อมูลภายในองค์กรในรูปแบบของแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย LLM ตอบโจทย์การค้นหาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ ได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากระบบจะทำการเรียนรู้จากข้อมูลภายในองค์กรโดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ตอบคำถามต่างๆ หรือการสร้างรีพอร์ตแสดงผล ผ่านการพูดคุยด้วยภาษาธรรมชาติ ไม่ซับซ้อน ลดเวลาในการทำงานและลดการสูญหายของความรู้ภายในองค์กร พร้อมทั้งมีมาตรการปกป้องข้อมูล ด้วยการจำกัดการเข้าถึงและประมวลผลในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญจะไม่รั่วไหล
ธัชกรณ์นำเสนอตัวอย่างการป้อนคำถามเพื่อค้นหาว่าโพสต์ไหนในโซเชียลมีเดียของแบรนด์ที่คนสนใจเป็นพิเศษ หรือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้แพลตฟอร์มไหนมีคนสนใจมากที่สุด
“หรือจะค้นหาข้อมูลด้านประกันสุขภาพของคนในองค์กรว่ามีการเบิกค่าใช้จ่ายไปเท่าไร ก็ถามได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน HR ข้อดีคือทำให้ทุกทีมในองค์กรมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่สร้างคุณค่าได้มากขึ้น และสามารถมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญทางธุรกิจได้” ธัชกรณ์อธิบาย
ถือว่าเป็นเวิร์กช็อปที่สามารถนำ Use Case มาทำให้เกิดความเข้าใจไปพร้อมๆ กับได้เห็นประสิทธิภาพของเครื่องมือที่จะเข้ามาพลิกโฉมให้ธุรกิจสามารถทำการตลาดได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสร้างผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ พร้อมผลกำไรที่ก้าวกระโดดได้ ผ่านข้อมูลเชิงทฤษฎีและความรู้เชิงปฏิบัติ