×

ปรากฏการณ์ Sell in May ปีนี้ไม่น่ากังวล! นักวิเคราะห์ประสานเสียงหุ้นไทยไม่หลุด 1,550 จุด

05.05.2021
  • LOADING...
ปรากฏการณ์ Sell in May ปีนี้ไม่น่ากังวล! นักวิเคราะห์ประสานเสียงหุ้นไทยไม่หลุด 1,550 จุด

ผ่านไปแล้ว 4 เดือน สำหรับปี 2564 ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในทิศทางเชิงบวก โดยดัชนี SET ปรับขึ้นมาราว 9% โดยระหว่างทางดัชนีปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,600 จุด ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

 

สำหรับเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะมาถึงนี้ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่มักจะอยู่คู่กับตลาดหุ้นคือ ‘Sell in May’ หรือเป็นความเชื่อที่ว่าตลาดหุ้นในเดือนพฤษภาคมมักจะต้องเผชิญกับแรงขาย

 

สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถิติในเดือนพฤษภาคม ย้อนหลัง 10 ปี ดัชนี SET ติดลบเฉลี่ย 1.5% ขณะที่ SET50 ติดลบเฉลี่ย 2% ส่วนค่าเงินบาทอ่อนค่าราว 0.8% 

 

ขณะเดียวกันจากสถิติผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ โดยวัดผลจากเดือนที่เริ่มลงทุนนับไปอีก 6 เดือน พบว่า การลงทุนตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ให้ผลตอบแทนต่ำสุดที่เฉลี่ย 1.7% ขณะที่การลงทุนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ให้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ย 6.8% 

 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนพฤษภาคม ประเมินกรอบดัชนี SET ระหว่าง 1,535-1,620 จุด โดยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี พลังงาน สำหรับช่วงครึ่งเดือนแรก ส่วนครึ่งเดือนหลัง แนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ 

 

“สำหรับตลาดหุ้นเดือนพฤษภาคมปีนี้อาจจะแตกต่างไปจากปีก่อน เพราะคำถามที่สำคัญตอนนี้คือ หากขายหุ้นแล้วจะไปลงทุนสินทรัพย์ใดต่อ โดยสรุปแล้วเชื่อว่าเดือนพฤษภาคมปีนี้หุ้นมีโอกาสลง แต่จะเป็นการลงน้อยกว่าสถิติในอดีต” 

 

สถิติดัชนี SET เดือนพฤษภาคม ย้อนหลังปี 2010-2020

 

ขณะที่ ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐานในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนหนึ่งจากจิตวิทยาหมู่เรื่อง ‘Sell in May’ หลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ซึ่งน่าจะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้หุ้นไทยปรับฐานตามไปในทิศทางเดียวกัน 

 

จากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นไทยมักจะปรับฐานลงเฉลี่ย 1.3-1.4% สำหรับเดือนพฤษภาคม และในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมของปีนี้อาจมีความกังวลเกี่ยวกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบเดือนมิถุนายน ซึ่งอาจจะเห็นการส่งสัญญาณลดวงเงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 

 

อย่างไรก็ดี สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับที่เริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย จากต้นปีที่ราว 75 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นเป็น 81 บาทต่อหุ้น ทำให้การปรับฐานของตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้รุนแรงมากนัก โดยประเมินว่าดัชนี SET ที่ระดับ 1,540-1,550 จุด น่าจะยืนอยู่ได้ 

 

“สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศที่เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย นักลงทุนอาจสลับเข้าลงทุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ หลังจากหุ้นเหล่านี้ปรับฐานลงมาก่อนหน้านี้ อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร ท่องเที่ยว และค้าปลีก ส่วนภาพรวมตลาดอาจเห็นดัชนี SET ทะลุ 1,600 จุดขึ้นไปได้จาก Sentiment เชิงบวกระยะสั้น แต่ไม่น่าจะขยับขึ้นไปได้ไกลนัก” 

 

ในมุมของ ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า ปรากฏการณ์ Sell in May ที่หลายคนกังวลอาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ พร้อมกันนี้เรายังได้ปรับระดับดัชนีเหมาะสมของ SET ในปีนี้ขึ้นจาก 1,550 จุด มาเป็น 1,600 จุด หลังจากที่ Consensus เริ่มทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรของตลาดขึ้น 

 

สำหรับโอกาสที่ปรากฏการณ์ Sell in May จะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ หรือหากดัชนี SET ปรับฐานในเดือนพฤษภาคม คาดว่าจะไม่ลดลงไปต่ำกว่า 1,550 จุด สนับสนุนจากเหตุผล 7 ข้อ ได้แก่ 

 

1. การปรับเพิ่มประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน หลังจากที่บริษัทใหญ่ๆ ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ทำให้ Valuation ของตลาดดูดีขึ้น

 

2. สภาพคล่องในประเทศที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนผ่านฐานเงินหรือ M2 ภายใต้ภาวะที่คนออมเงินมากขึ้ นและโยกย้ายเงินบางส่วนเข้าสู่ตลาดหุ้น 

 

3. แรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศน่าจะชะลอลง หลังจากที่ขายสุทธิไปกว่า 1.4 หมื่นล้านบาทในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นการกันเงินเข้าซื้อหุ้น TIDLOR ซึ่งหลังจากหุ้นเข้าเทรดช่วงต้นเดือนพฤษภาคม คาดว่าจะมีสภาพคล่องเพิ่มกลับมา

 

4. นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในระดับต่ำเท่ากับช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมปีก่อน ในระดับ 26.5% ทำให้แรงขายของต่างชาติไม่น่าจะมีออกมามากนัก 

 

5. โควิด-19 น่าจะผ่านจุดแย่สุดในเดือนเมษายน หลังจากนี้จะเริ่มเห็นมาตรการที่เข้มข้นขึ้น และการนำเข้าวัคซีนจากหลากหลายแบรนด์มากขึ้น 

 

6. สภาพคล่องในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง และปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่ธนาคารกลางยุโรปเพิ่มอัตราเร่งการเข้าซื้อสินทรัพย์ 

 

7. บอนด์ยีลด์มีโอกาสน้อยที่จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จากโทนคำพูดของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งแสดงจุดยืนชัดเจนว่า แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ และแผนพัฒนาสังคม 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ จะเป็นเงินจากการเก็บภาษีคนรวยมากขึ้น แทนที่จะเป็นการกู้เงินก้อนใหญ่ 

 

“ดัชนี SET ในเดือนพฤษภาคมน่าจะวิ่งอยู่ในกรอบ 1,550-1,650 จุด และด้วยระดับดัชนีปัจจุบัน นักลงทุนควรจะเน้นเลือกหุ้นเป็นรายกลุ่ม โดยเชื่อว่ากลุ่ม Global Play ทั้งกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และกลุ่มที่อิงกับการส่งออกจะยังโดดเด่นต่อไป” 

 

ด้าน ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า แม้ระยะสั้นนักลงทุนจะลดความเสี่ยงโดยโยกย้ายเงินลงทุนบางส่วนไปพักอยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย สะท้อนจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นในเดือนที่ผ่านมา แต่หากตัวเลขผู้ติดโรคโควิด-19 ในประเทศลดลง ประกอบกับสภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบ สะท้อนจากมูลค่าซื้อขายต่อวันที่ยังสูงกว่าระดับปกติมาก และยอดเปิดบัญชีซื้อขายใหม่ที่ยังพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง สนับสนุนให้ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ และการที่ดัชนี SET ย่อตัวลงมาจะเป็นโอกาสเข้าสะสม

 

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

 


ไม่พลาดข่าวไฮไลต์ประจำวัน มาเป็นเพื่อนกับ THE STANDARD WEALTH ในไลน์ คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising