ในโลกนี้มีเรื่องลึกลับอยู่มากมายนะครับ หลายเรื่องฟังแล้วอาจนึกไม่ถึงว่ามีอยู่จริง เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อพิสดารพันลึกเกินไป
ตัวอย่างเช่น คุณรู้ไหมครับว่าเคยมีหมู่บ้านอยู่สองแห่งในคาซัคสถาน ที่จู่ๆ ผู้คนก็ง่วงงุนกันขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการต่างๆ เช่น ประสาทหลอน ก่อนจะนอนหลับไปเป็นเวลายาวนานอย่างต่ำๆ ก็ 12 ชั่วโมง แต่บางคนก็นอนหลับไปนานถึง 6 วันก่อนจะตื่นขึ้นมา ทั้งยังพบว่าผู้ชายหลายคนพอตื่นขึ้นมาก็มีอารมณ์ทางเพศสูงอีกต่างหาก คืออวัยวะเพศแข็งตัวตลอดเวลา อยากมีอะไรกับคนอื่นแทบจะตลอดเวลา ในบางรายเป็นแบบนี้นานเป็นเดือนๆ เลยทีเดียวครับ
คำถามก็คือ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
เรื่องง่วงหลับนานหลายๆ วันเกิดที่คาซัคสถานในราวปี 2010 จนกระทั่งถึงราวปี 2013 แม้จะมีคนนอนหลับไปเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้มีใครเสียชีวิตนะครับ แต่อีกเรื่องหนึ่งที่มีบันทึกเอาไว้ในอดีตคือในราวศตวรรษที่ 16 (ในปี 1518) นอกจากยิ่งประหลาดกว่าแล้วยังอันตรายกว่าด้วย
เพราะนี่คืออาการ ‘เต้นรำระบาด’!
ฝรั่งเรียกว่า Dancing Plague หรือ Dance Plague เกิดขึ้นที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาสของฝรั่งเศส แต่ในยุคนั้นอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
ปรากฏว่าแรกเริ่มเดิมทีมีผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มเต้นรำไปบนท้องถนนอย่างแข็งขัน การเต้นรำก็ดีอยู่นะครับ เพราะว่ามันสนุกดี แต่เต้นไปเต้นมาเธอไม่หยุดน่ะสิครับ บันทึกบอกว่าเต้นอยู่นานราวๆ 4-6 วัน แล้วไม่นานนักก็มีคนกระโดดลงไปเต้นร่วมกับเธอด้วย แรกๆ ก็คนสองคน แล้วก็เป็นสิบๆ คน พอเวลาผ่านไป 1 เดือน ปรากฏว่ามีคนลุกขึ้นมาเต้นรำในเมืองนี้มากถึงราว 400 คน
ปัญหาของการเต้นก็คือมันไม่เหมือนการนอนหลับที่ไม่ต้องใช้พลังงานอะไร แต่การเต้นรำทำให้คนเหน็ดเหนื่อยมาก คุณลองเต้นรำดูสักชั่วโมงสิครับ แทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้วใช่ไหมครับ แต่นี่คือเต้นรำกันเป็นวันๆ ติดต่อกันหลายๆ วัน ผลลัพธ์ก็คือทำให้มีคนเต้นรำจนขาดใจตายไปราววันละ 15 คน
คำถามก็คือ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ย้อนกลับไปในราวปี 2001 จู่ๆ เด็กในโรงเรียนที่ในสหรัฐอเมริกาทั้งในระดับประถมและมัธยมจำนวนหลายสิบคนตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศก็เกิดผื่นขึ้นตามตัว ผื่นที่ว่านี้จะเป็นผื่นแดงที่มีอาการคัน แต่ปัญหาที่ประหลาดมากก็คือมันเป็นผื่นที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ไปโรงเรียน เมื่อไรที่กลับบ้านผื่นก็จะหายไป แต่พอกลับไปโรงเรียนผื่นก็จะกลับขึ้นมาอีก
เด็กๆ ไม่มีอาการอื่นใดนะครับ ไม่มีไข้ ไม่ได้คัดจมูก ไม่ได้ปวดหัว ไม่มีอาการปวดตามข้อ ไม่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ แล้วผื่นพวกนี้ก็ไม่ติดต่อด้วย พ่อแม่ของเด็กหรือญาติพี่น้องที่อยู่นอกโรงเรียนไม่เป็นผื่นที่ว่านี้ แต่ปัญหาคือจู่ๆ ก็มีคนไปหาหมอด้วยอาการผื่นที่ว่านี้เป็นสิบๆ คนในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน
แน่นอน หมอย่อมจับตรวจเลือด แต่ก็ไม่พบว่าจะมีอะไรเป็นต้นเหตุ ไวรัสก็ไม่ใช่ สารเคมีก็ไม่ใช่ สุดท้ายต้องส่งนักสิ่งแวดล้อมเข้าไปดูโรงเรียนว่ามีสารเคมีหรืออาวุธชีวภาพอะไรหรือเปล่า แต่ก็ไม่พบอะไร สื่อรายงานว่านี่เป็น ‘ผื่นลึกลับ’ ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
เรื่องของความง่วง การเต้นรำ และผื่น ล้วนเกิดขึ้นกับคนหมู่มากทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวแน่ๆ แต่คำถามก็คือเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ คนเราถึงได้ง่วง นอนนาน เต้นรำนาน และเกิดผื่นเฉพาะที่โรงเรียนเท่านั้น
ประหลาดจริงๆ เลย!
ที่จริงแล้วสามเรื่องนี้มี ‘คำอธิบาย’ ทางวิทยาศาสตร์อยู่นะครับ เพียงแต่บางเรื่อง (เช่น เรื่องการเต้นรำ) อาจเป็นข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะเรื่องเกิดในอดีตกาลนานโพ้นแล้ว จึงไม่รู้ว่าเป็นอย่างที่หลายคนตั้งทฤษฎีเอาไว้หรือเปล่า
เรามาดูเรื่องแรกกันก่อนครับ คือเรื่องของหมู่บ้านในคาซัคสถานที่จู่ๆ ผู้คนก็หลับไปเป็นเวลาหลายๆ วัน
แรกสุดนักวิทยาศาสตร์เห็นว่าเมืองสองแห่งที่ว่านี้เป็นเมืองที่สร้างอยู่บนเหมืองยูเรเนียมเก่าสมัยที่รัสเซียเคยปกครองประเทศคาซัคสถานอยู่ นักวิทยาศาสตร์เลยคิดว่าต้องเป็นเหมืองนี่แหละที่เป็นปัญหา แต่พอไปตรวจระดับกัมมันตรังสีแล้วกลับพบว่ามีความเข้มข้นต่ำมากเสียจนไม่น่าทำให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาได้
แล้วปัญหามาจากไหน
ปัญหาของเรื่องนี้เขาบอกว่ามันก็มาจากเหมืองนั่นแหละครับ แต่ไม่ใช่เรื่องกัมมันตรังสี เพราะถ้าเป็นกัมมันตรังสี ชาวบ้านคงไม่ง่วงหลับ แต่น่าจะเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอื่นๆ มากกว่า
ปัญหาของเหมืองเก่าแห่งนี้ก็คือข้างใต้ของเหมืองมันจะปลดปล่อยสารจำพวกไฮโดรคาร์บอน โดยเฉพาะคาร์บอนมอนอกไซด์ออกมา ทำให้อากาศในหมู่บ้านที่อยู่ด้านบนมีคาร์บอนมอนอกไซด์สูงมาก นั่นทำให้คนสูดเอาคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไป
ปัญหาก็คือคาร์บอนมอนอกไซด์จับกับฮีโมโกลบินในเลือดได้มีประสิทธิภาพกว่าออกซิเจนเสียอีก มันก็เลยไปแย่งที่ออกซิเจนและกระตุ้นให้สมองต้องหยุดทำงาน ผลลัพธ์ก็คือจะเกิดภาพหลอนก่อนแล้วค่อยง่วงหลับแบบเดียวกับคนที่นอนในรถยนต์ติดเครื่องเอาไว้นั่นแหละครับ นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาตั้งหลายปีกว่าจะค้นพบเรื่องนี้ เพราะตอนแรกมัวแต่ไปโฟกัสอยู่ที่สารกัมมันตรังสีอยู่นาน
แต่คำถามก็คือ อ้าว! แล้วถ้าคาร์บอนมอนอกไซด์มันเยอะจริง เข้มข้นจริง ทำไมถึงไม่ใช่ ‘ทุกคน’ ที่ได้รับผลกระทบนี้ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันล่ะครับ เพราะว่าบางคนก็เป็นหนัก บางคนก็ไม่เป็นอะไรเลย แล้วยังเรื่องอารมณ์เพศที่เกิดขึ้นหลังตื่นขึ้นมาอีก เรื่องพวกนี้ยังไม่มีใครอธิบายได้ เรียกว่าเป็นคำถามที่ยังไร้คำตอบอยู่ก็ว่าได้
ส่วนเรื่องการเต้นรำที่เกิดขึ้นในปี 1518 นี่สิครับที่เป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย เพราะว่าเกิดในสมัยโบราณนานนม ทำให้ไม่มีหลักฐานหรือการพิสูจน์อะไรเลย นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แต่ใช้สมมติฐานมาอธิบาย โดยอาจจะตั้งทฤษฎีโน่นนั่นนี่ขึ้นมา ซึ่งก็มีการหักล้างกันไปเรื่อยๆ
ทฤษฎีหนึ่งที่หลายคนเชื่อถือก็คือการเต้นรำที่ว่าอาจจะเกิดจากอาการ ‘อาหารเป็นพิษ’ แบบหนึ่ง เนื่องจากในพื้นที่แถบนั้นของยุคนั้น ผู้คนบริโภคข้าวประเภทวีต (เช่น ไรย์) เป็นหลัก แล้วในข้าวประเภทนี้มันจะมีเชื้อราชนิดหนึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย เรียกว่า Ergot Fungi เจ้าเชื้อราตัวนี้จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า Ergotism ขึ้นมาได้ เพราะว่ามันจะปล่อยสารที่เรียกว่า Ergot Alkaloids ออกมา โดยเฉพาะสารที่เรียกว่า Ergotamine สารชนิดนี้มีผลต่อระบบประสาท คือเป็น Psychoactive Product ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับยาเสพติดประเภทแอลเอสดี จึงเป็นไปได้ว่าการเต้นรำอาจเป็นเพราะการกินอาหารที่มีเชื้อราชนิดนี้ก็ได้
แต่อีกทฤษฎีหนึ่งบอกว่าการเต้นรำอาจจะเป็นสภาวะทางจิต (Psychosis) อย่างหนึ่งที่เกิดจากความเครียดก็ได้เหมือนกัน เพราะในพื้นที่แถบนั้นของยุคนั้นมีความอดอยากหิวโหยมาก ทำให้คนมีความเครียด จึงน่าจะโน้มนำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นสาเหตุร่วมกันก็ได้ โดยในยุคกลางนั้นมีรายงานเรื่องแบบนี้มากถึงกว่า 7 กรณีด้วยกัน และเอาเข้าจริงก็ยังอธิบายไม่ได้กระจ่างชัดนัก
ส่วนกรณีที่สามคือเรื่องผื่นนั้น แม้ฟังดูเผินๆ เหมือนน่าจะหาคำอธิบายได้ง่าย เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนจริงๆ มีประจักษ์พยาน เอาคนมาตรวจก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็นอะไร แต่เอาเข้าจริงกลับหาคำอธิบายได้ยาก
นักวิทยาศาสตร์และแพทย์หลากสาขา เช่น แพทย์ผิวหนัง แพทย์ระบาดวิทยา นักสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญเรื่องไวรัสและยาฆ่าแมลงต่างก็พยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น จะเกิดจากไวรัสได้ไหม หรือมีการใช้สารบางอย่างมากเกินไป เช่น โลชั่นบางอย่าง หรือมีการแพ้สัตว์บางประเภทที่อยู่ในโรงเรียน หรือแพ้อาหารในโรงอาหารของโรงเรียน แพ้น้ำ ฯลฯ
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้สร้างความกระจ่างอะไรขึ้นมาได้เลย
สุดท้ายหลายคนเลยโยนบาปไปว่าเป็นการ ‘ก่อการร้าย’ โดยใช้อาวุธชีวภาพหรือเปล่า เพราะว่าเหตุการณ์นี้เกิดหลังเหตุการณ์ 9/11 ได้ไม่นาน จนหลายคนเรียกว่าเป็น The Post-9/11 Mystery Rash หรือผื่นลึกลับหลัง 9/11 กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม มีการสืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไปและพบว่าผื่นแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเหมือนกันตั้งแต่ปี 2000 แล้ว นักจิตวิทยาหลายคนอธิบายว่าเป็นไปได้เหมือนกันที่ผื่นแบบนี้จะเป็นอาการแบบ Mass Hysteria คืออาการทางจิตโน้มนำให้เกิดอาการทางกาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในเด็กที่เป็นวัยรุ่น
เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้ในเบลเยียมแล้ว คือวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งบอกว่าดื่มเครื่องดื่มโคล่าชนิดหนึ่งแล้วเป็นพิษถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลกันเป็นจำนวนหลายสิบราย ทำให้เบลเยียมและฝรั่งเศสต้องสั่งแบนเครื่องดื่มชนิดนั้นระยะหนึ่ง แต่ที่สุดเมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่พบการปนเปื้อนอะไรเลย
หรือในอังกฤษก็เคยมีกลุ่มวัยรุ่นในเทศกาลดนตรีกลางแจ้งจำนวนมากที่ล้มหมดสติไปเพราะคิดว่าชาวไร่พ่นยาฆ่าแมลงอยู่ใกล้ๆ แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้มีข้อสรุปสุดท้ายออกมาว่าสาเหตุของมันเป็นอย่างไรกันแน่
หลายเรื่อง วิทยาศาสตร์อาจยังอธิบายได้ไม่หมด เพราะปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดสถานการณ์หนึ่งๆ นั้นมันซับซ้อน อาจต้องใช้เวลาในการคลี่ปมนาน และบางที ‘ความนาน’ นั้นก็ไม่ได้คุ้มค่าต่อการทำงาน จึงทำให้ไม่มีการคลี่คลายต่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องเหล่านี้จะลี้ลับหรือมีอำนาจเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอไปหรอกนะครับ
เพราะข้อสรุปสุดท้ายของเรื่องลึกลับทั้งหลายก็คือ – อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป, นั่นเอง