×

‘เอสซีจี’ ยอมรับ เงินเฟ้อและต้นทุนพลังงานกดดันธุรกิจถึงปีหน้า เร่งพัฒนาโซลูชันตามแนวทาง ESG รับมือความเสี่ยง สร้างการเติบโตระยะยาว

28.10.2021
  • LOADING...
SCG

เอสซีจีระบุว่า ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นจะกดดันธุรกิจของเครือเอสซีจีไปจนถึงปีหน้า อย่างไรก็ตาม เอสซีจียังคงเป้าหมายยอดขายปี 2564 เติบโต 5-10% และจะมุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคภายใต้แนวคิด ESG เพื่อสร้างการเติบโตในระยาว 

 

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี กล่าวว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและต้นทุนพลังงานจะกดดันธุรกิจของเครือในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องถึงปีหน้า เนื่องจากทั้งสองความเสี่ยงดังกล่าวจะกระทบต่อกำลังซื้อของผู้โภค และทำให้บริษัทจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายสินค้า เนื่องจากได้ต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับเพิ่มขึ้น 

 

แนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ เอสซีจีจะเน้นการบริหารจัดการเรื่องการขายอย่างรอบคอบมากขึ้น โดยเลือกจากตลาดที่ราคาสินค้ายังแข่งขันได้ การขนส่งสะดวกในต้นทุนที่บริษัทรับได้ และยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อยู่ 

 

ขณะเดียวกันเอสซีจีจะมุ่งพัฒนาโซลูชันการบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าและยอดขายเอาไว้แม้ในยามที่ต้องมีการปรับขึ้นราคาสินค้า 

 

สำหรับความเสี่ยงจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นราว 30-50% ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผลประกอบการโดยรวม เอสซีจีมีนโยบายควบคุมต้นทุนด้านวัตถุดิบด้วยการจัดทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และเพิ่มสัดส่วนกระบวนการผลิตด้วยการใช้เชื้อเพลิงจากสัดส่วนพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนที่เป็นเชื้อเพลิงจาก RDF อยู่ที่ระดับ 12% และสัดส่วนจากการใช้พลังงานโซลาร์อยู่ที่ 3%

 

ทั้งนี้ เอสซีจียังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในปี 2564 ที่ 5-10% โดยเฉพาะผลประกอบการในงวด 9 เดือน ก็เติบโตตามแผนงานแล้ว 

 

สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3/64 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 131,825 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 9,066 ล้านบาท ลดลง 47% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง 

 

ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในประเทศเมียนมา และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนเป็นมูลค่ายุติธรรม จะทำให้มีกำไรสำหรับงวด 6,817 ล้านบาท ลดลง 60% จากไตรมาสก่อน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 31% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น 

 

ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติลดลง 11% จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่และการปิดเมืองทั้งภูมิภาค ทั้งนี้ หากรวมขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์และกำไรจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวดลดลง 30%

 

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 387,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 38,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

 

เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการ HVA (High Value Added Product & Services: HVA) ในช่วง 9 เดือนของปี 2564 อยู่ที่ 133,504 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development: NPD) และ Service Solution คิดเป็น 15% และ 5 ของรายได้จากการขายรวม

 

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศรวมการส่งออกจากประเทศไทยใน 9 เดือนของปี 2564 ทั้งสิ้น 174,487 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีมูลค่า 850,339 ล้านบาท โดย 44% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

 

“สถานะทางการเงินของเอสซีจียังแข็งแกร่ง แม้ว่ากำไรลดลงจากการปิดประเทศทั้งภูมิภาค ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้น เอสซีจีได้เร่งดำเนินกลยุทธ์ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอีก รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะรุนแรงขึ้นในอนาคต โดยเร่งบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยการทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า การเลือกใช้วัตถุดิบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน (Alternative Energy)”

 

ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2564 เอสซีจีมีสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ RDF เท่ากับ 12% และพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เท่ากับ 3% หรือ 77,744 เมกะวัตต์-ชั่วโมง 

 

อย่างไรก็ดีเชื่อว่า ภายหลังการเปิดประเทศ กำลังการซื้อจะเริ่มกลับมา เพราะภาคธุรกิจและประชาชนจะสามารถปรับตัวในการอยู่ร่วมกับโควิดได้เช่นเดียวกับหลายประเทศ นับเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลก 

 

สำหรับความคืบหน้าเรื่องการผลักดันธุรกิจเคมีคัลส์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน เช่น การปรับโครงสร้างทางการเงิน การปรับโครงสร้างกิจการ โดยคาดว่าในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะสามารถให้ข้อมูลเรื่องไทม์ไลน์ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกครั้ง 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising