×

SCBAM เผยสารพัดปัจจัยกดดัน ‘หุ้นไทย’ ชี้เหมาะลงทุนระยะยาว

04.11.2020
  • LOADING...
SCBAM เผยสารพัดปัจจัยกดดัน ‘หุ้นไทย’ ชี้เหมาะลงทุนระยะยาว

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ผิดคาดมาก หากมองย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2562 ขณะนั้นนักลงทุนมีความคาดหวังสูงว่าตลาดหุ้นปี 2563 จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปี 2562 ได้ เนื่องจากในปลายปีนี้จะมีการเลือกตั้งของสหรัฐฯ พรรคการเมืองจึงต้องใช้เวลาไปกับการวางกลยุทธ์และนโยบายสำหรับการหาเสียงเกือบตลอดปี ซึ่งอาจจะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เคยกดดันตลาดหุ้นมาโดยตลอดน่าจะบรรเทาลง แต่กลับมีเหตุการณ์รุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อตลาดคือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการติดเชื้อที่เร่งตัวขึ้นสูงเกินกว่าจะควบคุมได้จนต้องตามมาด้วยมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ


ในเมื่อธุรกิจต่างๆ ไม่สามารถดำเนินกิจการได้ปกติ ความสามารถในการทำกำไรก็จะพลาดเป้าไปมาก นักลงทุนจึงหันมาถือครองเงินสดมากขึ้น หรือหันไปลงทุนในทองคำแทน ราคาหุ้นทั้งโลกจึงปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง


ช่วงที่เริ่มเกิดโควิด-19 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงปลายปี 2562 จาก 1,579.84 จุด ลงมาสู่ระดับต่ำสุดในวันที่ 13 มีนาคม 2563 อยู่ที่ 969.08 หรือประมาณ 39% ก่อนจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมาตรการช่วยบรรเทาความผันผวนของตลาด โดยการปรับช่วง Ceiling-Floor ให้แคบขึ้นจากวันละ 30% เป็น 15% การจำกัดการตั้งราคาเพื่อ Short Sell และมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาธุรกิจและประชาชนของรัฐบาลที่ทยอยออกมา และในที่สุดก็ได้มีการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ให้หลายธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้


อย่างไรก็ตาม สำหรับตลาดหุ้นไทยนับว่ามีการฟื้นตัวน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เนื่องจากโครงสร้างของตลาดไทยไม่ได้มีหุ้นเทคโนโลยีต่างๆ หรือ Online Service/Platform ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับความสนใจในการลงทุนอย่างมากในปีนี้ นอกจากนี้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศในสัดส่วนสูง เมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการสินค้าลดลงไปมาก นักท่องเที่ยวก็ไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ส่งผลให้ทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบมากและเป็นวงกว้าง


นอกจากนี้เรายังมีปัญหาภายในประเทศเฉพาะตัว นั่นคือการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำให้นโยบายต่างๆ ขาดความต่อเนื่องไป รวมถึงการชุมนุมของประชาชนที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการบริหารงาน และข้อเรียกร้องต่างๆ อีกหลายๆ ข้อ ถึงแม้จะไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่ก็จะยืดเยื้อและทำให้ความน่าสนใจลงทุนในประเทศไทยลดน้อยลง


สำหรับประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีภาวะความไม่แน่นอนทางการเมืองมาโดยตลอด ส่วนความไม่แน่นอนที่เกิดจากการชุมนุมนั้นก็เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง หากพิจารณาการชุมนุม 3 ครั้งสำคัญในปี 2551, 2553 และ 2557 จะพบว่าตลาดหุ้นก่อนการชุมนุมจะแกว่งตัวผันผวนสูงและไม่มีทิศทางที่ชัดเจน นักลงทุนส่วนใหญ่จะชะลอการลงทุนก่อนการชุมนุม และแนวโน้มตลาดหลังการเริ่มชุมนุมพบว่าตลาดจะปรับตัวลงในช่วงแรก


ส่วนภาพในระยะกลางคาดว่าตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งเกิดจากนักลงทุนเริ่มเห็นความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและกอบกู้ความเชื่อมั่น ทำให้มีความมั่นใจและกลับมาลงทุนใหม่อีกครั้ง


หากการชุมนุมในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ตลาดหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันไปอยู่ที่ประมาณ 1,240-1,250 จุดได้เช่นกัน โดยจะได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีออกมาต่อเนื่อง หลังจากมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและทีมเศรษฐกิจใหม่ รวมถึงความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนรักษาโควิด-19 ที่จะทยอยออกมาเสริมอย่างต่อเนื่อง


สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะกลับมา Outperform ตลาดภายหลังการเมืองสงบลงแล้วนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มอาหาร กลุ่มขนส่ง และกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก


ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น กลุ่มพาณิชย์จะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการบริโภคผ่านมาตรการคนละครึ่ง ส่วนการเพิ่มวันหยุดยาวและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศจะทำให้กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มขนส่ง กลุ่มเครื่องดื่ม จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์


นอกจากนี้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2564 นั้นคาดว่าจะมีการเติบโตมากกว่า 20-30% โดยคาดว่ามีการเติบโตได้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมากน้อยต่างกันบ้าง ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้จะเหมาะมากสำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในระยะปานกลางถึงระยะยาว เพราะเมื่อผ่านพ้นความไม่แน่นอนทางการเมืองได้แล้ว และการพัฒนาวัคซีนเริ่มมีผลสำเร็จ ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนในด้านบวก


ทั้งนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงของตนเอง โดยนักลงทุนที่สามารถเลือกลงทุนในกองหุ้นที่มีนโยบายการจ่ายปันผล หรือสามารถลงทุนในกองนโยบายผสมที่ผู้จัดการกองทุนจะทำการปรับน้ำหนักการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มาก สามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงเล็กได้


ส่วนปัจจัยการลงทุนที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือการประกาศงบการเงินไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการชุมนุมทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งปัจจัยสำคัญเหล่านี้จะส่งผลต่อการลงทุนในอนาคตอย่างมาก

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising