วันนี้ (22 ธันวาคม) ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท. แถลงความคืบหน้า กรณีองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (WADA) สั่งคาดโทษแบนจนไม่สามารถใช้ธงชาติไทยในเวทีนานาชาติ รวมถึงพลาดโอกาสสำคัญในการเป็นเจ้าภาพกีฬาระดับนานาชาติไปเป็นเวลา 1 ปี
โดย ดร.ก้องศักดเปิดเผยถึงการแก้ไขร่างกฎหมายควบคุมสารต้องห้ามทางการกีฬาให้สอดรับกับมาตรฐานของ WADA ว่า
“ขอย้อนกลับไปถึงปัญหาของเราที่เป็นประเด็นให้ WADA ลงโทษ เป็นเรื่องของเทคนิค เป็นเรื่องของกฎหมาย ไม่ใช่ความบกพร่องในเรื่องของการตรวจสารต้องห้าม ไม่ใช่ความบกพร่องในเรื่องของการละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎบัตรของ WADA แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายของเราไม่สอดคล้องกับระเบียบของ WADA หลายประการ
“การทำงานของการกีฬาแห่งประเทศไทย หลังจากที่เราได้รับทราบว่า WADA ได้มีการอัปเดตกฎบัตรอยู่ตลอดเวลา ครั้งล่าสุดก็เมื่อต้นปี 2564 ทุกประเทศต้องปรับให้กฎหมายมีความสอดคล้องกับระเบียบของ WADA ซึ่งไทยเองมีการดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบของสำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางกีฬาของเรา มีการประสานกับ WADA มาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี จนระเบียบข้อบังคับของสำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางกีฬา สอดคล้องกับ WADA ทุกประเด็นแล้ว แต่เมื่อประมาณปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทาง WADA ได้มีการแจ้งว่ามีบางประเด็นที่ยังต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับระเบียบของ WADA
“WADA ได้แจ้งให้แก้ไขระเบียบบางข้อเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยตีกรอบให้ประเทศไทยแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถทำตามได้ตามกรอบเวลาที่ WADA กำหนด เนื่องจากต้องมีการแก้ไขกฎหมายทั้งฉบับซึ่งเป็นกฎหมายแม่ จะต้องมีกระบวนการต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 เดือน”
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการแก้ไขร่างกฎหมายควบคุมสารต้องห้ามทางการกีฬาให้สอดรับกับมาตรฐานของ WADA นั้น ทาง ดร.ก้องศักดเปิดเผยว่า ตอนนี้ได้ผ่านการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้นำเรื่องส่งถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในวันที่ 28 ธันวาคมนี้ เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขตามข้อกำหนดของ WADA
“หลังจากผ่านที่ประชุม ครม. ต้องมารอดูว่าทางคณะรัฐมนตรีจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ซึ่งหากออกเป็น พ.ร.ก. จะลดขั้นตอนลงไป คาดว่ากฎหมายจะแล้วเสร็จอย่างช้าเดือนมกราคม 2565 แต่หากออกเป็น พ.ร.บ. จะต้องผ่านขั้นตอนของรัฐสภา ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นบ้าง คาดว่าอย่างช้าคงไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2565 หลังจากนั้นจะมาประกาศเป็นกฎหมาย และออกกฎหมายลูกออกมาบังคับใช้ต่อไป” ดร.ก้องศักดกล่าว
ดร.ก้องศักดกล่าวด้วยว่า หลังจากทุกขั้นตอนของการแก้ไขกฎหมายในประเทศเรียบร้อย จะดำเนินการประสานกับ WADA เพื่อขอให้ปลดโทษแบนเร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะเน้นในเรื่องการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันก่อน ส่วนเรื่องไม่สามารถใช้ธงชาติไทยในเวทีนานาชาติได้นั้น คงต้องมีการทำเรื่องอุทธรณ์ต่ออนุญาโตตุลาการศาลกีฬาโลกอีกครั้ง ซึ่ง WADA เองให้การยอมรับด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ทาง THE STANDARD ได้สอบถามไปยัง ดร.ก้องศักด ว่าจะมีวิธีการรับมือและแก้ไขสถานการณ์แบบนี้อย่างไรในอนาคต หาก WADA มีการปรับเปลี่ยนระเบียบอีกครั้ง ซึ่งทาง ดร.ก้องศักดได้กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็นการแก้กฏหมายหลักให้เป็นกฎหมายกว้างๆ และทุกอย่างที่เป็นรายละเอียด สมมติ WADA Code แก้ไขระเบียบในอนาคต เราก็ไม่จำเป็นต้องมาแก้กฎหมายหลัก หรือ พ.ร.บ. อีกแล้ว
“เราจะสามารถแก้ไขกฎหมายเป็นระเบียบ เป็นกฎหมายลูกได้ ทำให้กฎหมายฉบับนี้มีลักษณะพิเศษ มีความอ่อนตัว เพราะทุกอย่างจะโยงไปที่กฎหมายลูก เพราะฉะนั้น เมื่อมีการแก้ไขกฎ WADA ในอนาคต เราก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอไปแก้เป็น พ.ร.บ. อีกครั้งหนึ่ง” ดร.ก้องศักดกล่าวในที่สุด