วานนี้ (28 มิถุนายน) ที่สถานีขนถ่ายขยะมูลฝอยสายไหม ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พร้อมคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานภายในโรงขยะของสถานี
ชัชชาติกล่าวภายหลังว่า ที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยสายไหมจะมีขยะเข้ามาเฉลี่ยแล้วที่ 2,000 ตันต่อวัน ซึ่งจะแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 1,000 ตันนำไปฝังกลบที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยสัญญาจะสิ้นสุดปี 2568 ส่วนที่เหลือจะนำไปกำจัดที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะมีทั้งการรีไซเคิล ทำเชื้อเพลิงปูนซีเมนต์ และฝังกลบ ซึ่งส่วนนี้สัญญาเริ่มเมื่อปี 2565 เป็นระยะเวลา 20 ปี จะสิ้นสุดปี 2585
สำหรับปัญหาที่เจอขณะนี้สำหรับสัญญาชุดหลังคือ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ลงทุนการทำระบบคอมแพ็กต์ หรือการนำขยะมาอัดใส่ตู้คอนเทนเนอร์ โดยลงทุนไปมูลค่าประมาณ 700 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ใช้งานส่วนนี้เต็มรูปแบบเท่าที่ควร
ชัชชาติกล่าวว่า ในส่วนข้อดีของการทำรูปแบบดังกล่าวจะทำให้อัดขยะได้สะดวกขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดการปลิว หรือน้ำรั่วระหว่างทาง อาจจะดีในแง่สิ่งแวดล้อม แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่ค่อยเหมาะสม เนื่องจากตู้ที่บรรจุมีน้ำหนักมาก จึงทำให้ต้นทุนในการขนสูงขึ้น โดยจะต้องพิจารณาอีกครั้งว่าควรใช้งานต่อหรือไม่
ชัชชาติกล่าวต่อไปว่า สำหรับสัญญาตัวแรกที่จะสิ้นสุดปี 2568 มีชาวบ้านร้องเรียนเรื่องกลิ่นและเสียง สร้างความเดือดร้อนรำคาญ ทาง กทม. จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่มาดูแลความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป ส่วนตัวเชื่อว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เตาเผาที่สะอาดสามารถมีได้ แต่ต้องมั่นใจคุณภาพและราคาที่เหมาะสมก่อนจะใช้ โดยจากนี้ตั้งเป้าหมายฝังกลบให้ลดลง 30%
ชัชชาติกล่าวว่า ขณะนี้ขยะเกินครึ่งหนึ่งของ กทม. มีสัญญาผูกพัน ซึ่งทำสัญญาไปแล้ว 20 ปี ดังนั้นผู้บริหารชุดใหม่จึงต้องพยายามทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และต้องรอบคอมมากขึ้นในอนาคต
การบริหารจัดการขยะในส่วนการขนส่งขยะมูลฝอยไปฝังกลบ ตอนนี้ที่มีการจ้างเอกชนมารับเหมา ตั้งแต่ขั้นตอนรับขยะจากศูนย์ ไปจนถึงฝังกลบที่กำแพงแสน ราคาอยู่ที่ 714 บาทต่อตัน ส่วนที่จังหวัดกาญจนบุรีราคา 649.50 บาท
อย่างไรก็ตามสำหรับวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. 4 ปี อยากให้มีการแยกขยะได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น แม้จะไม่ถึง 100% แต่จะพิจารณาว่าศูนย์ใดทำได้บ้าง เพื่อให้ท้องถิ่นนำไปเป็นตัวอย่าง และทำได้ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล
