หนังสือพิมพ์ The Washington Post รายงานเมื่อวานนี้ (15 เมษายน) ว่า สถานเอกอัครราชทูตรัสเซีย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ส่งหนังสือทางการทูตอย่างเป็นทางการไปยังกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยระบุวันที่ เมื่อวันอังคาร (12 เมษายน) ที่ผ่านมา เพื่อเตือนรัฐบาลสหรัฐฯ และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือ NATO ว่าการเดินหน้าจัดส่งระบบอาวุธที่มีความละเอียดอ่อนสูงสุดไปยังยูเครน อาจเป็นการเพิ่มเชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง และนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
โดยอาวุธที่มีความละเอียดอ่อนสูงสุดตามที่รัสเซียระบุนั้น ได้แก่ ระบบยิงจรวดหลายชนิด ซึ่งแม้จะยังไม่มีรายงานว่าสหรัฐฯ และ NATO ได้จัดส่งระบบยิงจรวดดังกล่าวให้แก่ยูเครน แต่รัฐบาลเครมลินก็กล่าวหาสหรัฐฯ และ NATO ว่าละเมิดหลักการอันเข้มงวดในการจัดส่งอาวุธไปยังพื้นที่ขัดแย้ง และชี้ว่ารัสเซียมีภัยคุกคามจากอาวุธที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งตกไปอยู่ในมือของกองกำลังชาตินิยมหัวรุนแรงและสุดโต่งในยูเครน
“เราขอเรียกร้องให้สหรัฐฯ และพันธมิตรยุติการขยายอิทธิพลทางทหารของยูเครนอย่างไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อความมั่นคงระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ” เนื้อความในหนังสือการทูตระบุ
The Washington Post ได้ตรวจสอบสำเนาของหนังสือการทูตดังกล่าว ซึ่งถูกส่งถึงรัฐบาลวอชิงตัน ในระหว่างที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติให้ขยายการจัดส่งอาวุธแก่ยูเครน ในแพ็กเกจงบประมาณ 800 ล้านดอลลาร์
โดยอาวุธที่สหรัฐฯ จัดส่งให้ยูเครนรอบนี้ รวมถึงปืนใหญ่วิถีโค้ง (Howitzers) ขนาด 155 mm ที่โจมตีได้ไกลถึง 22 กิโลเมตร ตลอดจนเฮลิคอปเตอร์ โดรนป้องกันชายฝั่งและยานยนต์หุ้มเกราะ รวมถึงระบบอาวุธต่อต้านอากาศยานและรถถังแบบพกพา และกระสุนปืนอีกหลายล้านนัด
นอกจากนี้สหรัฐฯ จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศพิสัยไกลไปยังยูเครน ซึ่งรวมถึงการจัดส่งระบบยิงขีปนาวุธ S-300 ของสโลวาเกีย ที่ผลิตในรัสเซียตั้งแต่ยุคโซเวียต ซึ่งทหารยูเครนได้รับการฝึกใช้งานแล้ว โดยสหรัฐฯ จะจัดส่งระบบขีปนาวุธ Patriot ให้แก่สโลวาเกียเป็นการแลกเปลี่ยน
ทางด้านสำนักข่าว Interfax ของทางการรัสเซีย รายงานว่า มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้ยืนยันถึงการส่งหนังสือการทูตดังกล่าว โดยชี้แจงว่า เอกสารการทูตที่คล้ายกันเรื่องการเตือนการจัดส่งอาวุธแก่ยูเครน ถูกส่งไปยังทุกประเทศรวมถึงสหรัฐฯ
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อรายงานเกี่ยวกับหนังสือการทูตดังกล่าว
ภาพ: Alex Chan Tsz Yuk / SOPA Images / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: