×

หุ้น ‘ค้าปลีก-ไอที’ รับอานิสงส์ พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์ระบุฟื้นทั้งกำลังซื้อจริงและสภาพคล่องในตลาดหุ้น

27.05.2021
  • LOADING...
พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (27 พฤษภาคม) ปรับตัวขึ้นโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค โดยดัชนีปิดตลาดที่ 1,582.96 จุด เพิ่มขึ้น 14.38 จุด หรือ 0.92% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 175,296 ล้านบาท 

 

ส่วนปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทย คือ เริ่มเห็นโอกาสในการนำเข้าวัคซีนทางเลือกเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาครัฐได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุน 

 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวย​การ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณี พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (พ.ร.ก. กู้เงิน) วงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมนั้น ประเมินว่าเป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทยและเป็นบวกต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้นเช่นกัน 

 

โดยในมุมเศรษฐกิจ เม็ดเงินก้อนนี้น่าจะทำให้ GDP ไทยปีนี้ขยายตัวได้ราว 1.1% และทำให้หนี้สาธารณต่อ GDP ในปีงบประมาณ 2565 ไม่เกิน 60% 

 

“พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาทนี้ เป็นการปรับลดลงมาจากที่เคยถูกเสนอครั้งที่แล้ว 7 แสนล้านบาท ซึ่งมองเป็นมุมบวกใน 3 เรื่อง คือ 1. ลดแรงกดดันเรื่องการเพิ่มการจัดเก็บภาษี 2. ลดความกังวลเรื่องกู้เงินเพิ่มอีกในอนาคต และ 3. ลดความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะในวงเงิน 5 แสนล้านบาท สามารถกู้ในประเทศได้”​

 

สำหรับอานิสงส์ต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นในช่วงปลายปีที่เม็ดเงินเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของรัฐเข้าสู่ภาคธุรกิจ SMEs และประชาชนฐานราก เมื่อเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแล้ว ผู้ประกอบการขนาดใหญ่รวมถึงบริษัทจดทะเบียนก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน 

 

ณัฐพลกล่าวเพิ่มว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันมี 2 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนคือ กำไรบริษัทจดทะเบียน และสภาพคล่อง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าสภาพคล่องมีบทบาทในตลาดหุ้นเร็วกว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน ฉะนั้น เมื่อมีเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาทเติมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็จะมีเม็ดเงินไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน 

 

“จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ เดือนมีนาคม 2564 สภาพคล่อง M2 อยู่ที่ระดับ 23 ล้านล้านบาท เทียบกับมาร์เก็ตแคปตลาดหลักทรัพย์ซึ่งอยู่ที่ 17 ล้านบาทบาท จะมากกว่ากันราว 1.2 เท่า ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย นั่นสะท้อนว่ามีความเป็นไปได้สูงที่นักลงทุนรายย่อยในประเทศไม่สามารถเติมสภาพคล่องในตลาดได้อีก”  

 

จึงมองว่าหากมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นทั้งในระบบเศรษฐกิจจริง และสภาพคล่องในตลาดหุ้นผ่านทางการลงทุนของนักลงทุนรายย่อย โอกาสที่ดัชนีจะฟื้นตัวปลายปีก็จะมีให้เห็น 

 

สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาทครั้งนี้ คือกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่และกลุ่มสินค้าไอที โดยน่าจะเห็นภาพการฟื้นตัวที่ชัดเจนในปลายปี โดยหุ้นที่โดดเด่นคือ CRC, CPALL, MAKRO, BJC, GLOBAL, HMPRO, DOHOME, COM7 

 

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศ (Domestic Play) จะได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.ก. กู้เงิน 

 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการจัดสรรแผนการใช้เงินว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ และรวดเร็วพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาภาคธุรกิจและภาคประชาชนหรือไม่ 

 

โดยในมุมองการฟื้นฟูเศรษฐกิจ คาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ไม่ถึง 1.5% แต่หากสามารถผลักดันให้เงินเยียวยาและฟื้นฟูเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มได้รับวัคซีน ก็อาจจะส่งผลดีต่อ GDP มากกว่าคาด

 

สำหรับหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ จะเป็นกลุ่มค้าปลีกและสินค้าไอที ประกอบด้วย CPALL, MAKRO, COM7, SYNEX 

 

ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ยังคงมุมมองต่อดัชนีเช่นเดิม คือมีโอกาสทำระดับสูงสุดระหว่างปีที่ 1,650 จุด โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อดัชนีในครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยจากต่างประเทศเป็นหลัก

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising