‘เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์’ เป็นระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดที่ถือว่า ‘เมาสุรา’ ตามกฎหมาย ซึ่งตราไว้นานมากแล้วเป็นกฎกระทรวง ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความใน พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ในสมัยที่ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แต่ถ้าแปลงตัวเลขมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เป็นความรู้สึก
- 20 = เริ่มผ่อนคลาย
- 30 = สนุกสนาน ร่าเริง
- 50 = สนุกเต็มที่
- 60 = เริ่มเสียการเคลื่อนไหว
- 100 = เดินเซ
- เกินกว่านี้ไม่ควรดื่มต่อ เพราะความสามารถในการขับรถจะแย่ลงอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเป็น 6 เท่าเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม
ส่วนถ้าอยากแปลงเป็นปริมาณที่ดื่มก็ได้ แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือด เช่น ผู้หญิงมีไขมันเป็นสัดส่วนมากกว่าผู้ชาย น้ำในร่างกายน้อยกว่า และแอลกอฮอล์ละลายในน้ำได้ดีกว่าไขมัน ถ้าดื่มในปริมาณเท่ากัน ผู้หญิงจะมีความเข้มข้นในเลือดมากกว่า
ถ้าท้องว่างจะดูดซึมได้เร็วกว่า ความเข้มข้นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือถ้าค่อยๆ ดื่ม ร่างกายก็จะค่อยๆ เผาผลาญแอลกอฮอล์ไปด้วย ความเข้มข้นในเลือดค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งปกติระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลง 10-20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ใน 1 ชั่วโมง
50 = ปริมาณ 2 ดื่มมาตรฐาน (Standard drink) ในผู้ชาย หรือ 1 ดื่มมาตรฐานในผู้หญิง
โดย 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับเครื่องดื่มที่ปริมาณแอลกอฮอล์ 10 กรัม เช่น เบียร์ 1 กระป๋องหรือขวดเล็ก, วิสกี้ 3 ฝา, ไวน์ 1 แก้ว ขึ้นกับปริมาณดีกรีในเครื่องดื่ม ดังนั้นถ้าใครจะต้องขับรถใน 1 ชั่วโมงก็ไม่ควรดื่มเกินกว่านี้ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจราจรที่อาจเกิดขึ้น
การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด
เกริ่นมาหลายบรรทัดเป็นการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยใช้ความรู้สึกหรือทฤษฎีไว้สำหรับให้ผู้ที่ดื่มประเมินตนเองเบื้องต้น แต่ในทางกฎหมายจะต้องมีการตรวจโดยใช้เครื่องมือวัดออกมาเป็นตัวเลข ซึ่งกฎกระทรวงได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตรวจได้ 3 วิธี ‘ตามลำดับ’ ได้แก่
- ตรวจวัดลมหายใจ
- ตรวจปัสสาวะ
- ตรวจเลือด
สองวิธีหลังจะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจวัดด้วยวิธีแรกเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าการเจาะเลือดต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ และตามหลักการแล้วการเจาะเลือดเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายของบุคคล ซึ่งจะกระทำได้เมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้ อย่างในกรณีนี้ก็คือ พ.ร.บ. จราจรทางบก
ตามแนวทางการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของกรมควบคุมโรค กำหนดให้คดีอุบัติเหตุจราจรที่มีคู่กรณี หรือเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ/เสียชีวิต/ทรัพย์สินเสียหาย ผู้ขับขี่จะต้องถูกตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ โดยถ้าตรวจทางลมหายใจไม่ได้ก็ต้องตรวจเลือด
แต่แพทย์ก็ต้องขอ ‘ความยินยอม’ จากผู้ป่วยหรือญาติ (ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว) เพราะเป็นสิทธิ์ของผู้ป่วย หากผู้ป่วยไม่ยินยอม แพทย์ก็จะไม่สามารถเจาะเลือดได้ และบันทึกไว้ในเวชระเบียนว่าผู้ป่วยได้ทราบข้อกฎหมายแล้ว แต่ยังปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดแทน
ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องหาพยานหลักฐานอื่นมาพิสูจน์ความผิดนี้ แต่ปัจจุบันได้มีการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2557 ให้ ‘สันนิษฐาน’ ว่าผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ‘เมาสุรา’ ขณะขับขี่
ที่สำคัญนอกจากฝั่ง ‘ผู้ป่วย’ แล้ว แพทย์ต้องได้รับใบนำส่งผู้บาดเจ็บหรือศพให้แพทย์ตรวจชันสูตรจากเจ้าหน้าที่ ‘ตำรวจ’ ด้วย เพราะถือเป็นคำสั่งจากพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา นั่นหมายความว่าถ้าตำรวจไม่ประสานมา แพทย์ก็จะส่งตรวจเองไม่ได้
กรณีนักธุรกิจ ผู้บริหารโรงแรม จังหวัดภูเก็ต
“ในเบื้องต้นได้ตรวจแอลกอฮอล์บ้างไหมครับ” ผู้สื่อข่าวถาม พ.ต.อ. ประเทือง ผลมานะ ผู้กำกับการ สภ.วิชิต ถึงกรณีนักธุรกิจ ผู้บริหารโรงแรม จังหวัดภูเก็ต ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนเสาไฟฟ้าเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 มีนาคม 2564 ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ
“เรากังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักก่อน เพราะว่าที่ผมมาถึงเมื่อคืนคุณปลาวาฬไม่มีสติเลย แล้วก็ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ประสานกับคุณหมอเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก เรื่องอื่นๆ ไว้เป็นเรื่องทีหลัง” จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ในสังคมออนไลน์
แต่ถ้ายึดตามกฎหมายและแนวทางที่กล่าวมาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถประสานแพทย์ให้ตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดในระหว่างที่ช่วยเหลือผู้ป่วยได้ และควรรีบทำภายใน 4 ชั่วโมง จากนั้นโรงพยาบาลจะมีเวลาอีก 2 ชั่วโมงในการเจาะเลือด
เพราะถ้าหากเกิน 6 ชั่วโมงไปแล้วระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอาจลดลงต่ำกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม สำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์ได้รายงานว่า ขณะนี้อาการของนักธุรกิจคนดังกล่าวดีขึ้น ไม่มีอาการแทรกซ้อน แพทย์อยู่ระหว่างการพิจารณาวางแผนเรื่องการถอดท่อช่วยหายใจ ส่วนผลตรวจเลือดเพื่อหาระดับแอลกอฮอล์ขณะนี้ ‘ยังไม่มีออกมา’
ผลการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับการตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือดระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 เว็บไซต์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รายงานผลการตรวจทั้งหมด 4,778 ตัวอย่าง พบปริมาณเกินกฎหมายกำหนด 2,525 ตัวอย่าง (คิดเป็น 52.8%) ส่วนใหญ่อุบัติเหตุรถจักรยานยนต์และรถปิกอัพ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอุบัติเหตุทางถนน http://thaincd.com/document/file/download/leaflet/download1no34.pdf
- แนวทางการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ และหลักเกณฑ์การสนับสนุนค่าใช้จ่ายปี 2563 http://www.thaincd.com/2016/news/hot-news-detail.php?id=13694
- มาตรการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ : ศึกษาพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2557 http://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2015/TU_2015_5501031727_4123_3168.pdf
- แพทย์เผย ‘ปลาวาฬ’ รู้สึกตัวดี ไม่มีเลือดคั่ง ตร.ตรวจสอบที่เกิดเหตุ ชี้เรื่องตรวจแอลกอฮอล์ ว่ากันทีหลัง https://www.matichon.co.th/region/news_2624117
- “ปลาวาฬ” อาการดีขึ้น เตรียมถอดเครื่องช่วยหายใจ ผลตรวจแอลกอฮอล์ยังไม่ออก https://www.thairath.co.th/news/crime/2051077
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ https://www3.dmsc.moph.go.th/