×

ส่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากตัวเลขตลาดแรงงาน

29.08.2022
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดแล้วจริงหรือ ถ้าฟื้นแล้ว ฟื้นแค่ไหน หากไม่นับข้อมูล GDP ของ ‘สภาพัฒน์’ แล้ว ข้อมูลหนึ่งที่ตอบคำถามข้างต้นได้ คือข้อมูลตลาดแรงงาน

 

อ้างอิง: สำนักงานสถิติแห่งชาติ

 

ย้อนกลับไปดูก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 1.0 หลังการระบาดของโควิด อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 2.2 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ก่อนที่จะปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ชี้ถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนของตลาดแรงงานแม้จะยังไม่กลับไปเท่าระดับก่อนโควิด


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นถึงโครงสร้างด้านพลังงานในยุโรป เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีขึ้น

ถ้านับเป็นจำนวนคน จำนวนผู้ว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วก่อนโควิดอยู่ที่ประมาณ 4 แสนคน ณ จุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 9 แสนคน ก่อนที่จะกลับลงมาที่ 5 แสนกว่าคนในปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ดี ทั้งตัวเลขอัตราว่างงานและตัวเลขจำนวนผู้ว่างงาน สะท้อนผลของโควิดต่อตลาดแรงงานไทยที่น้อยกว่าความเป็นจริงมาก ในการวิเคราะห์ภาวะตลาดแรงงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เราจึงบวกตัวเลข ‘ผู้เสมือนว่างงาน’ นิยามจากผู้มีงานทำแต่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวันเข้าไปด้วย โดยพบว่าในไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักจากการปิดเมือง จำนวนผู้เสมือนว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.7 ล้านคน

 

หลังจากการเปิดเมืองในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 จำนวนผู้เสมือนว่างงานปรับลดลงชัดเจน แต่ก็ยังสูงกว่าระดับ 3 ล้านคน ตลอดทั้งปี 2564

 

ข้อมูลที่น่ายินดีคือ ณ ไตรมาส 2 ของปีนี้ ตัวเลขผู้เสมือนว่างงานลงมาอยู่ที่ 2.4 ล้านคน ซึ่งแทบไม่แตกต่างกับตัวเลขก่อนการระบาดของโควิดแล้ว

 

ที่ต้องติดตามต่อไปคือ หลังจากเศรษฐกิจไทยกลับไปเท่ากับระดับก่อนการระบาดของโควิด ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในสิ้นปีนี้ อัตราการว่างงานซึ่งคำนวณจากเฉพาะจำนวนผู้ว่างงานจะกลับไประดับก่อนโควิดที่ประมาณร้อยละ 1.0 ด้วยไหม โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ธุรกิจหลายสาขา ทั้งส่งออก ก่อสร้าง และร้านอาหาร ออกข่าวว่ามีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก

 

ในข้อหลังนี้ ส่วนตัวผมเองยังไม่แน่ใจ ข้อมูลผู้ว่างงานสามารถจำแนกย่อยไปได้อีกเป็นผู้ว่างงานระยะสั้นและผู้ว่างงานระยะยาว (ว่างงานเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป) ก่อนการระบาดของโควิดจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวที่ปรับฤดูกาลแล้วอยู่ระหว่าง 5-7 หมื่นคน ในปี 2563 ตัวเลขนี้ยังไม่ขยับมากนัก แต่ตั้งแต่ปี 2564 ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นไปเป็นหลักแสน และยังไม่มีทีท่าจะลดลงอย่างมีนัย โดยล่าสุดในไตรมาส 2 ของปีนี้ อยู่ที่ 1.6 แสนคน ชี้ว่าคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตกงานจากการระบาดของโควิดไม่สามารถหางานทำใหม่ได้ สวนทางกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะทักษะของพวกเขาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันแล้ว

 

แต่หากจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่วิกฤตโควิดทิ้งไว้ถาวร ตลาดแรงงานไทยอาจจะมีความตึงตัวมากกว่าที่สะท้อนจากตัวเลขอัตราการว่างงาน ซึ่งอธิบายว่าทำไมเราจึงเห็นข่าวเชนร้านอาหารประกาศจ้างพนักงานถึง 800 บาทต่อวัน รวมถึงไม่เห็นแรงต้านของนายจ้างในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากนัก

 

ตัวเลขสำคัญตัวเลขหนึ่งที่ต่างประเทศเกาะติดแต่ในไทยไม่ค่อยดูกันคือ ตัวเลขอัตราการขยายตัวของรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงาน ซึ่งสามารถบ่งชี้แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากค่าจ้างแรงงานได้ ข้อมูลล่าสุดพบว่า เริ่มเห็นการปรับขึ้นของรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี เทียบกับในอดีตแล้ว อัตราการเพิ่มที่เห็นถือว่ายังไม่ผิดปกติ เพราะสอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงพอสรุปได้ว่า ค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงมากในข่าวยังเป็นเฉพาะบางสาขาธุรกิจเท่านั้น

 

อ้างอิง: สำนักงานสถิติแห่งชาติ คำนวณโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำล่าสุดคงทำให้อัตราการขยายตัวของค่าจ้างแรงงานโดยรวมเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจหลังการระบาดของโควิด เช่น การเติบโตของธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี ทำให้ค่าจ้างแรงงานโดยรวมอ่อนไหวกับการปรับขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำน้อยลง ประกอบกับอัตราที่ปรับขึ้นล่าสุดของค่าจ้างขั้นต่ำที่เฉลี่ยร้อยละ 5 ถือว่าไม่สูงมากนัก

 

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง สิ่งที่ต้องระวังคือเงินเฟ้อฝังรากในการเรียกร้องการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน ควบคู่ไปกับการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อปีหน้าไม่ลงมามากตามที่ ธปท. คาด จึงยังไม่อาจวางใจได้ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ครับ

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising