ภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘ภาวะหมดไฟเงียบ’ (Quiet Burnout) หรือไม่? นี่คือภัยเงียบที่แฝงตัวอยู่ในชีวิตการทำงานของคนยุคใหม่ ซึ่งอาจอันตรายยิ่งกว่าภาวะหมดไฟแบบทั่วไปเสียอีก เพราะมันแทบไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน ทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้างก็ยากที่จะสังเกตเห็น
องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้ภาวะหมดไฟเป็นปรากฏการณ์ด้านอาชีพที่เกิดจาก ‘ความเครียดเรื้อรังในที่ทำงานที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม’
แม้จะไม่ถือเป็นโรคทางจิตเวช แต่ Christina Jochim รองประธานสมาคมนักจิตบำบัดแห่งเยอรมนี เตือนว่า ภาวะนี้อาจเป็น ‘ความเสี่ยงร้ายแรงที่จะนำไปสู่โรคซึมเศร้าทางคลินิก’ และยังส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อย่าปล่อยให้ Gen Z หมดไฟ! 7 เคล็ดลับ HR ดึงคนรุ่นใหม่กลับมาทุ่มเทให้งาน และอยากอยู่กับองค์กรไปนานๆ
- หมดไฟเพราะงานล้น! Outward Mindset สร้างแรงจูงใจให้ทีมมี ‘ไฟ’ ทำงาน ก่อนฟางเส้นสุดท้ายที่ชื่อว่า ‘ลาออก’ มาถึง
- Gallup เผย พนักงานหมดไฟทั่วโลก ทำเศรษฐกิจโลกเสียหายกว่า 321 ล้านล้านบาท พบ 20% มีอารมณ์ด้านลบทุกวัน ทั้งเหงา-เครียด-โกรธ!
แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างภาวะหมดไฟทั่วไปกับภาวะหมดไฟเงียบ? ทั้งสองมีอาการคล้ายกัน เช่น ความเหนื่อยล้าทางกาย หงุดหงิด กระวนกระวาย ใจร้อน และมีความขัดแย้ง แต่ภาวะหมดไฟเงียบจะแสดงอาการทางจิตใจเป็นหลัก และค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้ยากต่อการสังเกต
Brigitte Bösenkopf นักจิตวิทยา กล่าวว่า “ผู้ป่วยมักกดอาการเอาไว้ ไม่ยอมรับว่ามีอะไรผิดปกติ พวกเขาพยายามรักษาภาพลักษณ์ของคนที่มีประสิทธิภาพสูงและมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบเอาไว้” ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ Jochim ที่ว่าผู้ป่วยหลายคนจะแสดงสีหน้ายิ้มแย้มทั้งที่จิตใจเหนื่อยล้า ซึ่งเป็น ‘กลไกชดเชยในภาวะหมดไฟเงียบ’
สาเหตุหลักของภาวะนี้มักเกิดจากความตึงเครียดที่ไม่ได้รับการบรรเทาและความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะในชีวิตส่วนตัวหรือที่ทำงาน
Bösenkopf ชี้ว่าผู้ที่มีค่านิยมส่วนตัวขัดแย้งกับคนรอบข้างโดยเฉพาะในที่ทำงานมีความเสี่ยงสูง และในขณะที่ภาวะหมดไฟทั่วไปมักเกิดกับคนที่ทำงานหนักเกินขีดจำกัด แต่ ‘ภาวะหมดไฟเงียบ’ มักเกิดกับ ‘คนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและละเลยความต้องการของตัวเอง’ จนรู้สึกว่าถูกใช้งานมากเกินไป
อาการเตือนที่สำคัญ ได้แก่ ความไวต่อสิ่งเร้าที่มากขึ้น เช่น รู้สึกรำคาญเสียงดัง แสงจ้า หรือแม้แต่การสัมผัสทางกาย นอนไม่หลับ โดยเฉพาะจากการนอนหลับไม่เป็นเวลา มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ กับเรื่องเล็กน้อย ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของผู้อื่นได้ แสดงความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำงานผิดพลาดบ่อยขึ้น และถอนตัวจากกิจกรรมทางสังคม
Jochim แนะนำว่า การมีท่าทีที่ผิดปกติ เช่น การแสดงความเยาะเย้ยถากถางหรือประชดประชันที่ไม่เคยทำมาก่อน ก็เป็นสัญญาณหนึ่งของภาวะหมดไฟเงียบ นอกจากนี้การหัวเราะน้อยลงในที่ทำงานก็ควรถือเป็นสัญญาณเตือนภัยเช่นกัน
หากคุณสงสัยว่าตัวเองอาจกำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟเงียบ สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับปัญหาและสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง การขอความช่วยเหลือเป็นก้าวแรกสู่การฟื้นตัว โดย Bösenkopf แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักบำบัดภาวะหมดไฟ โค้ช หรือเข้าร่วมเวิร์กช็อปที่เกี่ยวข้อง
ในระยะแรกของภาวะหมดไฟ เทคนิคลดความเครียด การบำบัดด้วยการพูดคุย และการปรับทัศนคติสามารถช่วยได้มาก แต่ยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไรก็จะยิ่งรักษายากขึ้นเท่านั้น และอาจนำไปสู่อาการทางกายที่รุนแรงได้ ดังนั้นเป้าหมายของคุณควรเป็นการขอความช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วยที่ยาวนาน
อย่าปล่อยให้ภาวะหมดไฟเงียบคุกคามชีวิตและการทำงานของคุณ จงตระหนักถึงสัญญาณเตือนและดูแลสุขภาพกายใจของตัวเองอย่างจริงจัง เพราะการทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพเริ่มต้นจากการใส่ใจตัวเองก่อนเสมอ
อ้างอิง: