×

PwC แนะภาคการเงินไทย เตรียมพร้อมวัดความเสี่ยงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หลังมีแนวโน้มนำ Climate Risk Stress Test มาใช้ในอนาคตอันใกล้

14.09.2022
  • LOADING...
PwC

PwC แนะธนาคารและภาคการเงินของไทย ตื่นตัวในเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ หลังมีแนวโน้มว่าจะมีการนำ Climate Risk Stress Test (CST) มาใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยหน่วยงานกำกับดูแลในสิงคโปร์-มาเลเซีย เริ่มออกข้อแนะนำและแนวปฏิบัติในการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผลการทดสอบ CST ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) พบธนาคารในยูโรโซนส่วนใหญ่ไม่ได้นับรวมความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศไว้ในโมเดลด้านสินเชื่อของตน 

 

สุ อารีวงศ์ หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก รวมทั้งกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตื่นตัวในการประเมินการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมหรือสภาพภูมิอากาศ กับการดำเนินงานของธนาคารมากขึ้น 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


โดยธนาคารกลางของสิงคโปร์และมาเลเซียได้ออกข้อแนะนำและแนวปฏิบัติ ในการนำปัจจัยความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ซึ่งในทางทฤษฎี การนำความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นปัจจัยส่วนเพิ่มในการบริหารความเสี่ยงที่ธนาคารมีอยู่เดิม จะทำให้ธนาคารสามารถประเมินผลกระทบของความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

 

“กระแสของการดำเนินธุกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG ถือเป็นหนึ่งในพลวัตสำคัญของโลกที่ทุกภาคส่วนรวมทั้งหน่วยงานกำกับร่วมกันผลักดัน ทำให้เกิดเป็นแนวทางปฏิบัติ Requirement และกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่ภาคธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาโลกร้อน” สุกล่าว 

 

ทั้งนี้ เมื่อปลายปี 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลงานกองทุนโดยทางการ (Pillar 2) โดยเพิ่มการคำนึงถึงปัจจัยด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) ในกระบวนการประเมินความเสี่ยงของเงินกองทุน ซึ่งถึงแม้ว่า ธปท. อาจจะยังไม่ได้ออกแนวทางที่ชัดเจนในปัจจุบัน สุกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในหลักเกณฑ์การนำปัจจัยด้าน ESG มาใช้ในการบริหารความเสี่ยงในอนาคตของธนาคาร

 

“สำหรับไทยเวลานี้ Regulator ของเราน่าจะอยู่ในช่วงศึกษาและพิจารณาแนวทางที่ทาง ธปท. จะออกมาเป็นแนวปฏิบัติ แต่ถ้าประเมินจากสิ่งที่ประเทศเพื่อนบ้านได้ทำไปบ้างแล้ว เราน่าจะเห็นการนำ Climate Stress Testing หรือ Environment Stress Testing มาใช้กับภาคธนาคารของไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตัวอย่างของปัจจัยและสถานการณ์ต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการทำ Stress Testing เช่น ปัญหาภาวะโลกร้อน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้ แบงก์จะต้องตื่นตัวในการบริหารความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” สุกล่าว 


ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ECB ได้ประกาศผลการทดสอบภาวะวิกฤตด้านความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Stress Test: CST) พบว่า ธนาคารส่วนใหญ่นับรวมความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศเข้าในกรอบการทดสอบภาวะวิกฤต แต่ยังขาดประสิทธิภาพและข้อมูลที่เพียงพอ

 

ทั้งนี้ ผลการทดสอบ CST ของ ECB ที่ถูกจัดทำในช่วงไตรมาสที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าธนาคารในยูโรโซนส่วนใหญ่จะตื่นตัวในการนำ ESG มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง แต่ยังพบว่ามีความท้าทายจากการจัดทำแบบทดสอบนี้เนื่องจากมีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งกระบวนการจัดทำรายงานภายในของธนาคารมีความยุ่งยากและซับซ้อน ระบบการเปิดเผยข้อมูลที่มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน และ Climate Risk Framework ที่อาจจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ดังนั้น การจัดทำ CST ของ ECB ครั้งนี้ จึงถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันของทั้งหน่วยงานกำกับและธนาคารในแถบยุโรป สุกล่าว

 

แนะธนาคารผนวกการบริหารความเสี่ยงวิกฤตภูมิอากาศกับการดำเนินธุรกิจ

สุกล่าวต่อว่า ในระยะต่อไปจะเห็นภาคธุรกิจธนาคารยิ่งต้องปรับกลยุทธ์ โดยผนวกการบริหารความเสี่ยงที่พิจารณาถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและ ESG Risk อื่นๆ กับการดำเนินธุรกิจมากขึ้น เช่น มีการพิจารณาถึงผลกระทบจากระดับ ESG Risk ของลูกค้าแต่ละราย และนำผลกระทบดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าที่มีธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้าน ESG ต่ำ รวมไปถึงการออกสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นธนาคารหลายแห่งออกผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ หรือพูดคุยกับลูกค้าถึงแนวทางบริหารความเสี่ยงด้าน ESG และเก็บข้อมูลที่จำเป็นต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบของความเสี่ยงด้าน ESG ให้มีความแม่นยำมากขึ้น  

 

“ธนาคารต้องเชื่อมต่อตัวธุรกิจเข้ากับแผนการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ให้เป็นแบบ End-to-End Framework ครอบคลุมไม่ใช่แค่ตัวธุรกิจ แต่รวมถึงสังคม คู่ค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ ควรนำเครื่องมือเข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงและออกผลิตภัณฑ์ หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้องค์กรจัดการกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” สุกล่าว 

 

นอกจากนี้ รายงาน Risk and Regulatory Outlook 2022 ของ PwC ยังได้แนะนำแนวทางในการเตรียมตัวสำหรับธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากมีการนำแบบทดสอบภาวะวิกฤตด้านความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศมาใช้ ดังต่อไปนี้

 

  1. สร้างความสามารถด้านข้อมูลสำหรับสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการเก็บข้อมูลตัวชี้วัดความเสี่ยงด้านเครดิต ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในปัจจุบัน ธนาคารควรเริ่มเก็บข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ (เช่น อุณหภูมิ และระดับน้ำในส่วนภูมิภาคต่างๆ) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์หรือการวิเคราะห์เชิงสถิติได้ในอนาคต โดยอาจแบ่งประเภทของข้อมูลตามกลุ่มอุตสาหกรรม ทำเลที่ตั้ง หลักที่มีความสำคัญกับลูกค้า (เช่น แหล่งของวัตถุดิบต้นน้ำ หรือแหล่งรายได้หลักของลูกค้า) และทำเลที่ตั้งของหลักประกันด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ง่ายต่อการนำข้อมูลมาใช้ และทำให้การประเมินผลกระทบมีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

 

  1. ร่วมมือกับลูกค้าเพื่อการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่มีคุณภาพ ด้วยการจัดทำผลสำรวจเพื่อสอบถามและศึกษาข้อมูลของลูกค้า โดยเพิ่มคำถามเกี่ยวกับขอบเขตคาร์บอนฟุตพรินต์ว่าอยู่ในระดับใด รวมทั้งแผนการปรับตัว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะสามารถนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และช่วยในการตัดสินใจด้านการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

  1. มีจุดยืนเชิงกลยุทธ์สำหรับ Sustainable Financing ธนาคารที่มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของแผนธุรกิจที่ยั่งยืน จะสามารถตอบสนองกับความต้องการของหน่วยกำกับดูแล และการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้ดี ซึ่งรวมถึงกรอบการทดสอบ CST ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

 

  1. ผนวกความเสี่ยงด้านสภาพอากาศเข้ากับกรอบการบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ในปัจจุบัน การบริหารความเสี่ยงในปัจจุบันหมายรวมถึงความเสี่ยงด้านตลาด เครดิต การปฏิบัติการ และสภาพคล่อง ซึ่งในอนาคตกรอบการบริหารความเสี่ยงดังกล่าวจะสามารถระบุและประเมินผลกระทบความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสามารถนำมาสนับสนุนการบริหารงานเชิงธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

  1. ยกระดับทักษะและความรู้การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศภายในองค์กร เพื่อให้ธนาคารสามารถปรับตัวตามข้อกำหนดและการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศได้ นอกจากนี้ ธนาคารควรสนับสนุนให้ทีมงานบริหารและพิจารณาความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยความเสี่ยงหนึ่ง เสมือนกับปัจจัยความเสี่ยงที่ธนาคารพิจารณาอยู่แต่เดิม

 

  1. อัปเดตกระบวนการกำกับดูแลที่มีอยู่ให้ครอบคลุมความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอาจปรับปรุงแนวทางการบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ และ Stress Testing ที่มีอยู่เดิม ให้รวมหรือสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และนำข้อมูลมาตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐานต่างๆ ที่ใช้ในการประเมินผลกระทบ เพื่อให้การคาดการณ์ของธนาคารมีความแม่นยำขึ้น 

 

  1. นำผลการประเมิน Climate Risk Stress Testing มาใช้ในการบริหารพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร เมื่อธนาคารสามารถประเมินถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในสถานการณ์ต่างๆ ธนาคารจะสามารถนำข้อมูลนั้นมาปรับใช้ในการบริหารพอร์ตโฟลิโอของตน เพื่อมีระดับ Risk vs. Return ที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับระดับเงินกองทุนที่ธนาคารต้องมีรองรับความเสี่ยงนั้นๆ 


สุกล่าวว่า การจัดเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในอดีตที่ยังคงมีไม่เพียงพอ ถือเป็นความท้าทายของการบริหารความเสี่ยงของภาคธุรกิจไทย รวมไปถึงกลุ่มประเทศในภูมิภาคนี้ เพราะทำให้การประมาณการความเสียหายจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไม่ครอบคลุมทุกมิติ และอาจจะไม่มีความแม่นยำเท่าที่ควร ดังนั้น ภาคธุรกิจควรต้องพิจารณาว่าข้อมูลอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ต่อยอดการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ในอนาคต และภาครัฐควรให้การสนับสนุนการจัดเก็บข้อมูล เพื่อให้การดำเนินการด้าน ESG ในทุกภาคส่วนมีการพัฒนาขึ้น 

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising