วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้การต้อนรับพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ณ ทำเนียบเครมลิน โดยการพบกันครั้งนี้เป็นสัญญาณสำคัญของการกระชับความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศในหลายมิติ ท่ามกลางแรงกดดันจากตะวันตกที่ยังคงดำเนินต่อไป
นี่เป็นครั้งที่ 4 ที่มิน อ่อง หล่าย เดินทางเยือนรัสเซียตั้งแต่ทำรัฐประหาร เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของ ออง ซาน ซูจี ในปี 2021 การพบกันในครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างมอสโกและเนปิดอว์
ในการเจรจา ประธานาธิบดีปูตินเน้นย้ำถึงการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านพลังงานนิวเคลียร์ มีการลงนามในบันทึกข้อตกลง หรือ MOU เพื่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กในเมียนมา ซึ่งรัสเซียให้คำมั่นว่าจะเป็นพลังงานที่ ‘ราคาถูกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ พร้อมเชิญกองทัพเมียนมาเข้าร่วมขบวนพาเหรดวันแห่งชัยชนะ หรือ Victory Day ที่จัตุรัสแดงในวันที่ 9 พฤษภาคมด้วย
แต่การพบกันในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการค้าและพลังงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงบทบาทของรัสเซียในฐานะผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาลทหารเมียนมา ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากการถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรด้วย
แล้วรัสเซียต้องการอะไรจากเมียนมา?
ดร.อดุลย์ กำไลทอง นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย ชี้ให้เห็นว่า รัสเซียมองเมียนมาเป็นเครื่องมือถ่วงดุลอิทธิพลของจีน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จีนเป็นผู้เล่นหลักที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมา รัสเซียจึงต้องการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเพื่อลดการครอบงำของจีน นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รัสเซียกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารเมียนมา โดยเฉพาะด้านยุทโธปกรณ์และพลังงาน
ดร.อดุลย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า รัสเซียมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเมียนมาในด้านการทหารมาอย่างยาวนาน นักศึกษาทางการทหารของเมียนมาจำนวนมากได้รับทุนจากรัฐบาลรัสเซีย และศึกษาด้านเทคโนโลยีทางทหารที่นั่น
รัสเซียมองเกมระยะยาวเสมอ หากรัสเซียสร้างพันธมิตรกับรัฐบาลประเทศใดแล้ว พวกเขาต้องการให้ผู้นำนั้นอยู่ในอำนาจไปนานๆ
ส่วนอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ บทบาทของชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งบางกระแสระบุว่ามีการสนับสนุนจากจีนอยู่ ดังนั้น รัฐบาลทหารเมียนมาจึงต้องหาทางออกโดยมองหาพันธมิตรที่เป็น ‘พี่ใหญ่’ คนใหม่ และรัสเซียก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ซึ่งถ้าหากดูนโยบายต่างประเทศของรัสเซียในช่วงหลัง จะเห็นว่าปูตินพยายามขยายอิทธิพลในหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลีเหนือ แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่ที่รัสเซียยังเข้าไม่ถึงมากนัก เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ เป็นผู้เล่นหลัก
ส่วนเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรเก่าของรัสเซียสมัยโซเวียต กลับมีท่าทีโน้มเอียงไปทางสหรัฐฯ มากขึ้นในช่วงหลัง นี่จึงทำให้รัสเซียต้องหาทางสร้างอิทธิพลใหม่ในภูมิภาค และเมียนมาก็เป็นหนึ่งในหมากสำคัญของรัสเซียในเกมนี้
เมียนมาต้องการอะไรจากรัสเซีย?
รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิเคราะห์ว่า การเดินทางเยือนรัสเซียของมิน อ่อง หล่าย เป็นไปเพื่อแสวงหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยจากรัสเซีย
รัฐบาลทหารเมียนมาต้องการโดรน ปืนใหญ่ และเครื่องบินรบจากรัสเซีย เพื่อนำมาใช้ปราบปรามกองกำลังต่อต้านและกลุ่มชาติพันธุ์ รัฐบาลทหารเมียนมารู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาจีนได้เพียงฝ่ายเดียว และจีนเองก็มีอิทธิพลมากขึ้นในเมียนมา จึงต้องการสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน
ส่วนอีกปัจจัยที่สำคัญคือ โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ซึ่งเมียนมาต้องการดึงรัสเซียเข้ามามีบทบาท โครงการนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนสมดุลเศรษฐกิจในภูมิภาค เพราะตั้งอยู่ใกล้อ่าวไทยและทะเลอันดามัน ทำให้สามารถเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการค้าระหว่างประเทศ
รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่า หากรัสเซียลงทุนจริง ท่าเรือน้ำลึกทวายอาจกลายเป็นเครื่องมือให้รัสเซียขยายอิทธิพลในภูมิภาค และมีผลกระทบโดยตรงต่อจีน เนื่องจากจีนมีโครงการระเบียงเศรษฐกิจจีน-เมียนมา ที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 1 แถบ 1 เส้นทางซึ่งเชื่อมโยงกับท่าเรือในรัฐยะไข่
รศ. ดร.ดุลยภาค ชวนให้จับตาดูว่ารัสเซียจะยอมทุ่มทุนมหาศาลในท่าเรือน้ำลึกทวายมากน้อยเพียงใด ซึ่งในภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซีย เมียนมาค่อนข้างอยู่ไกล แตกต่างจากจีนที่มีภูมิรัฐศาสตร์ที่ใกล้กว่า แต่หากทวายถูกพัฒนาโดยรัสเซีย เส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างเมียนมากับโลกอาจเปลี่ยนไป และอิทธิพลของจีนอาจลดลงในบางส่วน
ท่าทีสหรัฐฯ ขยับมากขึ้นหรือไม่?
ดร.อดุลย์ วิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ อาจต้องปรับยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยิ่งถ้ารัสเซียเริ่มเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น สหรัฐฯ เองอาจจะต้องกังวลเรื่องผลประโยชน์บริเวณช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก หากรัสเซียสามารถขยายอิทธิพลมาถึงจุดนี้ ย่อมส่งผลต่อดุลอำนาจในอินโดแปซิฟิก
ส่วน รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่าในยุค 2.0 ของทรัมป์ เมียนมากับไทยที่ถูกจัดให้อยู่ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก มาวันนี้ทำให้เห็นไพ่ของจีน และรัสเซีย ในสนามเมียนมา อาจจะมีความน่าสนใจมากขึ้นกับสหรัฐฯ แต่ประเด็นปัญหาภายในของเมียนมา รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่าก็จะยังคงไม่ได้รับความสนใจในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 เหมือนเดิม และยังไม่คิดว่าสหรัฐฯ จะมีพลังอำนาจที่จะเข้ามาวัดกับจีนในบริเวณนี้มากนัก แต่ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจับตามองต่อไป
ปูติน เล่นเกมสงครามจิตวิทยา
นอกจากนี้ ดร.อดุลย์ ยังวิเคราะห์ว่า รัสเซียกำลังใช้เกมสงครามจิตวิทยาในการขยับบทบาทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเมียนมา ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างพันธมิตรใหม่ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคให้กลับมาคิดทบทวนถึงทิศทางนโยบายของตน ในที่นี้รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งไทย มาเลเซีย และเวียดนาม อาจต้องพิจารณาปรับแนวทางความสัมพันธ์กับรัสเซียใหม่ สำหรับ ไทย ดร.อดุลย์มองว่า ไทยต้องทบทวนความสัมพันธ์กับรัสเซียอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในบริบทของความสัมพันธ์รัสเซีย-เมียนมา เพราะไทยเองมีผลประโยชน์ในท่าเรือน้ำลึกทวาย และอาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของภูมิภาค
อีกหนึ่งประเด็นที่ ดร.อดุลย์ เน้นย้ำคือ ‘พลังงาน’ หากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัสเซียและเมียนมาประสบความสำเร็จ ไทยอาจต้องซื้อไฟฟ้าจากเมียนมาในอนาคต ซึ่งนี่คือจุดที่ไทยต้องทบทวนและคิดให้รอบด้าน
อ้างอิง: