เมื่อพูดถึงสลัดหรือผัดออร์แกนิก เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่มักจะนึกถึงชื่อของ ‘โอ้กะจู๋’ เป็นอันดับแรกๆ อย่างแน่นอน ด้วยรสชาติและความสดใหม่ที่สามารถสัมผัสได้จากวัตถุดิบชั้นดี มันทำให้พวกเขากลายเป็น ‘สลัดพันล้าน’ ที่พาแบรนด์ของตัวเองเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
แน่นอนว่า โอ้กะจู๋ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของธุรกิจที่เริ่มต้นจากแพสชันและพัฒนาไปสู่ระบบบริหารแบบมืออาชีพ หลายปีที่ผ่านมา จากร้านอาหารเล็กๆ ที่ใช้แนวคิดแบบ ‘เถ้าแก่’ คือเจ้าของมีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง มาเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยมาตรฐานและโครงสร้างบริหารที่ชัดเจน
แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าที่สองผู้ก่อตั้งอย่าง อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล และ โจ้-จิรายุทธ ภูวพูนผล จะสามารถนำพาแบรนด์สลัดผักรักสุขภาพของตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาต้องผ่านอุปสรรคทางความคิดครั้งสำคัญ เปลี่ยนพวกเขาจาก ‘เถ้าแก่’ สู่การเป็น ‘ผู้บริหาร’ อย่างเต็มตัว
หนึ่งในบทเรียนสำคัญที่โอ้กะจู๋ได้เรียนรู้คือ การลดบทบาทของความเป็นเถ้าแก่ลง และให้ความสำคัญกับกระบวนการตัดสินใจแบบมีระบบ ทุกการเปลี่ยนแปลงและการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของเพียงคนเดียว แต่ต้องผ่านการประชุมและพิจารณาจากทีมบริหาร สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น รับฟังความคิดเห็นจากทีมงาน และปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาด
🟡จากการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแบบเถ้าแก่ สู่การเป็นผู้บริหารแบบมืออาชีพ
“เราอยากทำอะไร เราสั่งได้เลย”
ช่วงแรกของโอ้กะจู๋ การตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าของโดยตรง ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบเถ้าแก่ทั่วไปที่เน้นการตัดสินใจแบบรวดเร็วและเด็ดขาด แต่เมื่อธุรกิจเริ่มขยายตัว ปัญหาจากการบริหารแบบนี้ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
🔺สาขาเริ่มเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน
🔺ทีมงานเริ่มเยอะขึ้น แต่การสื่อสารมีปัญหา
🔺ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แต่ไม่มีระบบวิเคราะห์ตัวเลขที่ชัดเจน
🔺ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไป แต่การปรับตัวทำได้ช้า
ด้วยปัญหาที่เพิ่มขึ้น ทีมผู้บริหารอย่างอู๋และโจ้เริ่มตระหนักว่าหากไม่ปรับเปลี่ยนวิธีคิด ธุรกิจอาจไปต่อไม่ได้ พวกเขาจึงตัดสินใจนำระบบบริหารแบบมืออาชีพเข้ามาแทน ประกอบไปด้วย
1. ลดอำนาจการตัดสินใจของเจ้าของ
“เมื่อก่อนเราคิดเอง ทำเอง ตัดสินใจเอง แต่พอธุรกิจใหญ่ขึ้น เราต้องเริ่มให้ทีมมีส่วนร่วม” พวกเขากล่าว โดยการตัดสินใจต่างๆ ถูกปรับให้ต้องผ่านการประชุมทีมบริหาร (XCOM) และคณะกรรมการ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่รอบคอบขึ้น
2. สร้างมาตรฐานในการทำงาน
โอ้กะจู๋เริ่มวางระบบมาตรฐานในการทำงาน ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบจากฟาร์ม การบริหารสาขา ไปจนถึงการบริการลูกค้า
3. ให้ความสำคัญกับ ‘ทีมเวิร์ก’
พนักงานไม่ได้ทำงานแบบสั่งการจากบนลงล่างอีกต่อไป แต่ถูกส่งเสริมให้มีการสื่อสารและทำงานร่วมกันเป็นทีม
4. ใช้ข้อมูลและตัวเลขในการตัดสินใจ
แทนที่จะใช้ความรู้สึกส่วนตัวในการเลือกสินค้า เมนู หรือกลยุทธ์การตลาด ทุกอย่างถูกวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจริง
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้โอ้กะจู๋เติบโตอย่างมั่นคง คือการสร้างมาตรฐานในการทำงาน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การจัดการฟาร์ม ไปจนถึงการให้บริการลูกค้า องค์กรถูกปรับให้เป็นระบบที่พนักงานทุกระดับสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิด ‘ทีมเวิร์ก’ ถูกนำมาใช้เพื่อลดการพึ่งพาการตัดสินใจจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา
🟡บทพิสูจน์ระบบบริหารแบบมืออาชีพ
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่พิสูจน์ว่าพวกเขาคิดถูกในการเปลี่ยนระบบบริหารให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นก็คือเหตุการณ์แพร่ระบาดของโควิด เพราะก่อนหน้านี้ธุรกิจเติบโตจากการขายอาหารในร้าน แต่เมื่อสถานการณ์บังคับให้ร้านอาหารต้องปิด พวกเขาต้องหาทางออกโดยด่วน
“เรามีเวลาเพียง 10 วันในการตัดสินใจเปิดสาขาเดลิเวอรี” พวกเขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างของการใช้ระบบบริหารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
หลังจากทีมงานตัดสินใจขยายโมเดลร้านอาหารจากเดิมที่เป็นร้านนั่งรับประทาน (Dine-In) ไปสู่สาขาที่เน้นเดลิเวอรีโดยเฉพาะ และยังเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งช่วยให้โอ้กะจู๋สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แม้ในช่วงที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบหนัก
“หากเราไม่มีระบบบริหารที่ดี เราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดนี้”
เมื่อธุรกิจขยายตัวจากร้านอาหารไปสู่โมเดลใหม่ เช่น ร้านแบบเดลิเวอรี การวางสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต และการขยายฟาร์มเพื่อลดต้นทุนการผลิต ความสามารถในการบริหารองค์กรแบบมืออาชีพยิ่งทวีความสำคัญ การเปลี่ยนผ่านจากเถ้าแก่ที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองมาเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยระบบและข้อมูล เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้โอ้กะจู๋สามารถขยายธุรกิจและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
🟡เริ่มต้นด้วย Passion แต่เติบโตด้วยความ Professional
“ความสำเร็จไม่ได้มาจากแค่การทำสิ่งที่รัก แต่ต้องรู้จักสร้างระบบให้ธุรกิจไปต่อได้”
นอกจากนี้การบาลานซ์ความต้องการของลูกค้า พนักงาน คู่ค้า และนักลงทุน ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่โอ้กะจู๋ต้องรับมือ การสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและความยั่งยืนเป็นแนวคิดที่โอ้กะจู๋ให้ความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด แต่เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตไปด้วยกัน
บทเรียนจากโอ้กะจู๋สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารธุรกิจให้เติบโตไม่ใช่แค่การมีไอเดียดี แต่ต้องมีระบบที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายตัว และสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในตลาด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้โอ้กะจู๋ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตต่อไป
รับชมคลิปฉบับเต็มได้ที่: https://youtu.be/a63uos8Elnc