วันนี้ (16 ธันวาคม) สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลงนามประกาศระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสถานที่คุมขังอื่นที่มิใช่เรือนจำ ตามมาตรา 33 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังแต่ละประเภทและการอื่นตามมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 พร้อมส่งหนังสือแจ้งไปยัง ผบ.เรือนจำ, ผอ.ทัณฑสถาน, ผอ.สถานกักขัง และ ผอ.สถานกักกัน เพื่อให้ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว
สหการณ์กล่าวว่า กฎหมายได้กำหนดชัดเจนให้กรมราชทัณฑ์จะต้องไปออกระเบียบ แนวทางการปฏิบัติ และกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขัง จึงหมายความว่า ผู้ต้องขังที่จะผ่านเกณฑ์ได้รับสิทธิประโยชน์จากระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 นั้น จะเป็นผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จากรายคดีใด คดีใดได้รับการยกเว้นหรือไม่ หรือต้องรับโทษจำคุกมานานเท่าไรแล้ว และหากต้องไปคุมขังที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร มีกิจกรรมประจำวันเช่นอะไรบ้าง
รวมถึงจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ต่อผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบสถานที่คุมขัง และบทบาทในการรับผิดชอบ ต้องควบคุมอย่างไร ดูแลผู้ต้องขังอย่างไรไม่ให้มีความเสี่ยงกระทำความผิดซ้ำ และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะต้องควบคุมดูแลผู้ต้องขังอย่างไร รายละเอียดทั้งหมดจะต้องไปยกร่างออกเป็นระเบียบอีก 1 ฉบับ เพื่อส่งต่อไปยังเรือนจำ/ทัณฑสถานทุกแห่งทั่วประเทศ ในการคัดกรองผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติตามที่ระเบียบกำหนดไว้
จากนั้นเสนอต่อคณะทำงาน (คณะทำงานพิจารณาการคุมขังในสถานที่คุมขัง) ตามระเบียบเพื่อคัดกรองพิจารณาอีกชั้น ส่วนสิ่งสำคัญอีกประการที่กรมราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการคือ ระยะเวลาปลอดภัย เช่น ผู้ต้องขังรายดังกล่าวจะต้องจำคุกมาแล้วเท่าไร บางประเทศอาจกำหนดให้รับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ใน 4 หรือบางประเทศอาจ 1 ใน 3 เป็นต้น
สหการณ์กล่าวว่า เราก็จะต้องทำเรื่องนี้เช่นกัน เพราะในงานวิจัยได้ระบุว่า การที่ผู้ต้องขังใดได้รับโทษจำคุกมาสักระยะหนึ่งแล้ว มักจะไม่มีปัญหาต่อพฤติกรรมหรือมีความเสี่ยง จึงสรุปได้ว่า แม้จะมีการบังคับใช้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำทันที แต่ก็ยังต้องรอระเบียบอีกฉบับที่ตนได้เรียนไปข้างตนก่อน เพราะระเบียบคุมขังนอกเรือนจำนั้น รูปธรรมในการนำไปปฏิบัติยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ส่วนระยะเวลาที่คาดการณ์กันไว้ว่าอยากให้ระเบียบแนวทางการปฏิบัติ การกำหนดคุณสมบัติผู้ต้องขังแล้วเสร็จก็คือภายในเดือนธันวาคมนี้ แต่จะบังคับใช้ได้จริง คาดว่าจะอยู่ในช่วงปี 2567
สหการณ์กล่าวอีกว่า เรายังต้องพิจารณาถึงการติดกำไล EM สำหรับผู้ต้องขังที่ได้รับสิทธิคุมขังนอกเรือนจำ ว่าจะมีผู้ต้องขังรายใดบ้างที่ต้องใช้กำไล และยังต้องกำหนดอาณาเขตพื้นที่บริเวณว่ากี่กิโลเมตรจึงจะมีความปลอดภัย และอาจต้องเพิ่มในส่วนของกล้องวงจรปิดที่จะเชื่อมกับกรมราชทัณฑ์ เพื่อการจับตาสอดส่องดูแล เพราะเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยภายในสังคมเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่จะต้องควบคู่ไปด้วยกัน
ส่วนคดีของผู้ต้องขังที่อาจมีการพิจารณายกเว้นไม่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากระเบียบคุมขังภายนอกเรือนจำ เช่น คดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง คดีค้ามนุษย์ คดีที่เกี่ยวกับชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน คดีทางเพศ (ฆ่าข่มขืน) คดียาเสพติด และคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นภัยร้ายแรงของประเทศ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของคดีทุจริตคอร์รัปชัน เรายังไม่ได้มีการลงลึกในรายละเอียด จะต้องมีการไปหารืออีกครั้ง
“ตนมองว่าการออกระเบียบแนวทางปฏิบัติสามารถยืดหยุ่นได้ เพราะเราต้องคำนึงถึงความเหมาะสม เช่น ในคดียาเสพติดจากเดิมที่มีการลงโทษที่เข้มข้นมาก แต่พอในปี 2564 มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ความเข้มข้นในส่วนของโทษก็ลดลง เราจึงต้องใช้ความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องไปกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป” สหการณ์กล่าว
สหการณ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ตนยืนยันว่าขั้นตอนจะเริ่มต้นจากทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เท่านั้น ผู้ต้องขังไม่มีสิทธิในการยื่นขอเข้าพิจารณาว่าจะเข้าเกณฑ์หรือไม่ เพราะคณะทำงานจะเป็นผู้พิจารณาเองทั้งหมด และการพิจารณาจะเกิดจากการดูภาพรวมทั้งหมดแล้ว เช่น พฤติกรรมระหว่างการต้องโทษ ความเสี่ยงการกระทำความผิดซ้ำ ความพร้อมของสถานที่คุมขัง เป็นต้น และขั้นตอนการพิจารณาจะจบที่ชั้นของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไม่ต้องเสนอเรื่องขึ้นไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้อำนาจของอธิบดีสามารถดำเนินการได้ จะไม่เหมือนกับขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ การขอลดวันต้องโทษ หรือการขอพักการลงโทษที่ต้องเสนอเรื่องไปยังชั้นกระทรวง
สหการณ์กล่าวอีกด้วยว่า ในบรรดาทั้งหมดทั้งมวล ตนพร้อมรับฟังความเห็นที่หลากหลายภายในสังคม แต่สิ่งสำคัญคือ ตนอยากให้ข้อมูลกับสังคม และเรียนรู้ไปด้วยกัน ว่าระเบียบนี้ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องแล้ว แต่การประกาศใช้นั้นมีความล่าช้าไปกว่ากรอบกฎหมายที่ได้กำหนดไว้จากกฎหมายหลัก คือ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งจริงๆ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำนี้จะต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2561 แต่ที่ผ่านมาอาจติดขัดในหลายประการ
อีกทั้งกรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เป็นข้อจำกัดให้กรมราชทัณฑ์จะต้องหยุดดำเนินการออกระเบียบหรือต้องออกระเบียบบังคับใช้แต่อย่างใด เป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์จะต้องดำเนินการอยู่แล้ว และตนไม่มีใครมาคอยสั่งการ ยืนยันพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ควบคู่ไปกับการบริหารโทษที่เป็นหลักตามสากล เราคำนึงถึงผู้ต้องขังทุกรายที่ควรได้รับสิทธิในการคุมขังนอกเรือนจำ