วันนี้ (1 ตุลาคม) อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบปะผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ส่งเสริมการลงทุนใน EEC ในยุค New Normal ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ขอบคุณนักลงทุนที่เชื่อมั่นและมีการขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด-19
โดย พล.อ. ประยุทธ์ ย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยหยุดคิด ยังคงมุ่งทำงานเพื่อวางรากฐานประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไป ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างเต็มที่ในการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม ทุกการลงทุนในทุกพื้นที่ทั้ง EEC และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งไทยนำหลักการด้านสิทธิมนุษยชนมาใช้ในภาคธุรกิจเป็นประเทศแรกในภูมิภาคด้วย
ในส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานใหม่ ซึ่งงาน Job Expo ที่จัดขึ้นได้รวบรวมงานทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 1 ล้านอัตรา รวมทั้งการวางรากฐานการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวตามทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย
สำหรับโครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตอบโจทย์การลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต แม้ช่วงวิกฤตโควิด-19 การลงทุนใน EEC ก็ยังอยู่ในระดับสูง ช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีคำขอรับการส่งเสริมใน EEC จำนวน 277 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนกว่า 85,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 54% ของคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งประเทศ ทั้งนี้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ ใน EEC ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการเมืองการบินอู่ตะเภา โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด รวมทั้งโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรม EECi ที่จังหวัดระยอง ได้ผู้ชนะการประมูลครบถ้วนแล้ว
ช่วงท้าย พล.อ. ประยุทธ์ เชิญชวนนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติทั้งการลงทุนในไทยระยะสั้นและระยะยาว พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลเตรียมความพร้อมทั้งด้านโลจิสติกส์ ระบบรถไฟความเร็วสูง สาธารณูปโภค แหล่งน้ำเพื่อการบริโภคและอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงงานฝีมือทั้งในและนอกระบบ เพื่อตอบสนองการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งขอเชิญชวนให้เอกชนแสวงหาโอกาสหรือเพิ่มการลงทุนที่ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตภัณฑ์สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ เกษตร และอาหาร ซึ่งรัฐบาลพร้อมนำข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน ทั้งการส่งเสริมนวัตกรรมที่จะเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนและประกอบธุรกิจในไทย มั่นใจว่ารัฐบาลและนักลงทุนจะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็งต่อไป
โดยก่อนหน้านั้น พล.อ. ประยุทธ์ ประชุมแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ร่วมกับหัวหน้าหน่วยงานและองค์กรของไทย เช่น ประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี อธิบดีกรมศุลกากร โดยย้ำการเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายโลจิสติกส์ของภูมิภาคทั้งการขนส่งสินค้าและการสัญจร โดยที่ประชุมได้มีการรายงานแผนงานเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ทั้งโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรทางถนน ลดความคับคั่งของท่าเรือด้วยการขนส่งสองระบบ โดยเฉพาะทางราง โครงการเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน หรือ Land Bridge ด้วยท่าเรือน้ำลึกสองฝั่งไทย เชื่อมด้วยถนนมอเตอร์เวย์ ราง และรถไฟ เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ การขนส่งของประเทศ และสามารถขยายศักยภาพเชื่อมมหาสมุทรอินเดียและเอเชียใต้ และโครงการสะพานไทย
หลักการสำคัญที่ พล.อ. ประยุทธ์ ได้กำชับในการศึกษาทั้ง 3 โครงการนั้นต้องสร้างความเชื่อมโยงให้เห็นความคุ้มค่าในการลงทุนและเกิดผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจระหว่างทางด้วย โดยใช้รูปแบบการลงทุนแบบ PPP เพื่อประหยัดงบประมาณในการนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีกำชับว่าการดำเนินการทุกอย่างต้องโปร่งใส ไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน โดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ทุกหน่วยงานต้องเร่งทำงาน ใช้ช่วงโควิด-19 เตรียมพร้อมประเทศ เสริมความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถเปิดรับเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านได้ทันที
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์