วันนี้ (29 มกราคม) ที่อาคารรัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการฯ เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสอบถามกรณีการจับกุมผู้สื่อข่าวสำนักข่าวประชาไทระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ช่วงการสลายการชุมนุม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเลื่อนการเชิญเป็นครั้งที่ 5
ปดิพัทธ์กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นคือการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐต่อประชาชนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยทางคณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวคือ พ.ต.อ. สินเลิศ สุขุม รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งขอเลื่อนนัดถึง 4 ครั้ง กรณีที่เกิดขึ้นเช่นนี้เกิดจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติคําสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงส่งผลให้สภาไม่มีอำนาจตาม พ.ร.บ. คำสั่งเรียกฯ และทำให้อำนาจของคณะกรรมาธิการฯ ถูกตัดทอนและลดบทบาท จึงเป็นความกังวลของคณะกรรมาธิการฯ ในการลดทอนบทบาทและให้อำนาจแก่รัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นปัญหาจากผลพวงโดยตรงของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยตนจะนำเรื่องนี้หารือต่อ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะเมื่อผู้ชี้แจงไม่มา และกรรมาธิการฯ ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะต้องมีการยื่นตีความการใช้ พ.ร.บ. คำสั่งเรียกฯ ใหม่อีกหรือไม่ รวมถึงการแสดงความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาคือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ยังไม่ดำเนินการอะไร
ประเด็นที่ 2 ทางคณะกรรมาธิการฯ เตรียมเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงข้อมูลในการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด จากกรณีที่ได้สั่งให้มีการเลือกตั้งซ่อม 18 จังหวัด เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความผิดพลาดของ กกต. ดังนั้นจึงต้องสอบถามว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอย่างไร และการที่ประชาชนจะต้องเสียสิทธิหากมาลงคะแนนเลือกตั้งใหม่ไม่ได้ ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากประชาชนเลย ทางคณะกรรมาธิการฯ จึงต้องการความชัดเจนจาก กกต. และต้องการหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อชี้แจงแนวทางกรณีทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหลายกรณี
เช่น มาตรา 34 ที่ระบุว่า สมาชิก ส.ส. ส.ว. และข้าราชการการเมือง ไม่สามารถช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้ว่า ในกรณีนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนใช่หรือไม่ และในกรณีผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองสามารถดำเนินการช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้หรือไม่ เพราะกรรมาธิการฯ มองว่า ควรมีวิธีชัดเจนในวิธีปฏิบัติให้มากกว่านี้ รวมถึงควรมีการแจ้งเตือนผู้สมัครรายบุคคลว่าการกระทำใดทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ กกต. รอเป็นฝ่ายรับข้อมูลร้องเรียนเพียงอย่างเดียว จนกลายเป็นความผิดย้อนหลังของผู้สมัคร
ทั้งนี้ การที่ทางคณะกรรมาธิการฯ ขอให้ กกต. มีหนังสือชี้แจงและต้องการความชัดเจนก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้งในการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล รวมไปถึงเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่จะเกิดขึ้น
ปดิพัทธ์ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนร่วมติดตามใน 2 ประเด็นสำคัญ ซึ่งมีผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงมีผลต่อการวางรากฐานประชาธิปไตยให้แข็งแรง สุจริต และเที่ยงธรรม ในอนาคต
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล