รู้ไหมว่าซู่ชิงคิดอย่างไรกับฉายา ‘นางฟ้า ไอที ’… แล้วทำไมซู่ชิงยอมตกลงเป็นคู่เดตงานพรอมกับคนที่เธอไม่ชอบเลย… และทายซิว่า ในวันนี้ ซู่ชิงผู้เป็นคนทำทีวี ดูทีวีหรือเน็ตฟลิกซ์มากกว่ากัน…
02.18
- ก่อนอื่นเราต้องคุยกันเรื่องความเป็น ‘นางฟ้า ไอที ’ ของพี่ซู่ชิงก่อนค่ะ พี่ซู่ชิงชอบ ไอที มาตั้งแต่ต้นไหมคะ โบรู้มาว่าคุณพ่อเปิดร้านขายคอมพิวเตอร์
ใช่ค่ะ นั่นล่ะถึงกลายมาเป็น นางฟ้า ไอที ทุกวันนี้ (หัวเราะ) ที่จริงรู้สึกแปลกๆ นะเวลามีคนมาเรียกว่าเป็นนางฟ้า รู้สึกเหมือนต้องตายไปอยู่บนสวรรค์ก่อน อย่างที่โบบอก คุณพ่อพี่เปิดร้านคอมตั้งแต่พี่ยังเด็กมากๆ เกิดมาก็เห็นแต่เรื่องพวกนี้ ก็เลยสนใจไปโดยอัตโนมัติ
เสน่ห์ของมันอยู่ตรงไหนคะ อะไรคือสิ่งที่ชอบที่สุด
วิดีโอเกมค่ะ (หัวเราะ) เปิดคอมเป็นเองตั้งแต่ห้าขวบเพราะจะเล่นเกมนี่แหละ เกมแรกที่ชอบและเล่นบ่อยมากจำได้ว่าคือ Shufflepuck Café เป็นเกมแอร์ฮอคกี้ สนุกมาก นี่ไง พูดได้ว่าความสนใจไอทีเริ่มจากเกมเลยล่ะ
คิดถึงขนาดว่าอยากทำเป็นอาชีพไหมคะ
ทั้งคิดและไม่คิด คือด้วยความที่เป็นกิจการครอบครัว ตอนปิดเทอมนี่ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นนะคะ ต้องมาช่วยที่บ้านขายคอม ต้องคุยกับลูกค้า เราเลยต้องท่องสเปกคอม ลูกค้าถามจะได้ตอบถูก มันเลยเคยมีความคิดเหมือนกันว่า อืม หรือจะต้องทำสิ่งนี้เป็นอาชีพนะ แต่ถามว่าชอบไหม ไม่ค่อยนะคะ เราทำเพราะช่วยพ่อแม่ แต่พอทำอย่างนี้ไปสักสองสามปีก็รู้แน่แล้วว่า ไม่ได้อยากทำงานนี้ไปตลอดชีวิต พอดีเพื่อนโทรมาชวนไปทำงานทีวีที่กรุงเทพฯ ซึ่งนั่นคือสิ่งใหม่มาก ไม่เคยมีความคิดเรื่องทำงานทีวีมาก่อนเลย แต่สนใจ ก็เลยตัดสินใจไป เริ่มงานแรกเป็นผู้สื่อข่าวเลยค่ะ
เรียกได้ไหมว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิต
ใช่เลยค่ะ นอกเหนือจากการตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศแล้ว การตัดสินใจจะให้โอกาสตัวเองลองอาชีพผู้สื่อข่าวก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ อย่างหนึ่งคือการรู้สึกว่า งานทีวีนี่แหละที่ของฉัน เรารู้แล้วว่าการทำงานในวงการนี้ทำให้เรามีความสุข แถมได้ทำเรื่องที่เราชอบและถนัดด้วย แล้วเรื่องอย่างนี้คนดูเขาเห็นจากหน้าเราเลยนะ จากแววตา จากน้ำเสียง ว่าเรารักและหลงใหลในสิ่งที่เราทำจริงหรือเปล่า
07.03
- ไอที เป็นเรื่องใกล้ตัวมนุษย์มากๆ พี่ซู่ชิงคิดว่า ไอที จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนเราในแง่มุมไหนได้มากที่สุดคะ
พี่ว่ามันเริ่มเปลี่ยนชีวิตเรามากๆ มาพักหนึ่งแล้วล่ะ สิบปีที่แล้วเรายังไม่ติดหนึบกับโทรศัพท์มือถือของเราอย่างนี้เลย แต่วันนี้เราพูดคุยกับอุปกรณ์ของเราในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวได้แล้ว ไม่ว่าจะกูเกิลโฮม หรือแอมะซอนเอคโค ยุคนี้เป็นยุคของเอไอ เทคโนโลยีจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และมันจะช่วยพัฒนาชีวิตของเราไปด้วย พี่มองว่าเราควรรับการเปลี่ยนแปลงและรู้จักเอา ไอที มาใช้นะ
08.12
- อุปกรณ์แก็ดเจ็ตตัวไหนที่ชีวิตนี้ขาดไม่ได้
คำตอบเราต้องเกร่อแน่เลย แต่ก็ต้องตอบว่าสมาร์ทโฟนแหละ สมมติออกจากบ้านมาแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าลืมของ ระหว่างกระเป๋าตังค์กับมือถือ เราจะยอมเสียเวลากลับไปเอาอะไรคะโบ (มือถือสิคะ!) นั่นไง มันแน่อยู่แล้ว เพราะสมัยนี้ใช้มือถือจ่ายตังค์ได้แล้ว หรือไม่ก็ยืมเพื่อนเอา ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย แต่ถ้าไม่ได้เชื่อมต่อนี่อยู่ไม่ได้ คือใครๆ ก็คงตอบอย่างนี้ แต่มันจริงอะ
09.00
- อุปกรณ์แก็ดเจ็ตตัวไหนที่ตอนนี้อยากได้ที่สุด
คงไม่ใช่แก็ดเจ็ตนะที่อยากได้ แต่อยากคุยกับหุ่นยนต์ อยากสัมภาษณ์เอไอ มีหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ดังพอสมควร ชื่อ โซเฟีย ผลงานของ แฮนสัน โรบอติกส์ คัมพะนี เมื่อไม่นานมานี้ในงานสัมมนา RISE Conference ที่ฮ่องกง โซเฟียกับหุ่นยนต์อีกตัว ขึ้นเวทีแล้วพูดคุยถกปัญหากันเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติ มันน่าสนใจมากเลยนะคะ อยากมีโอกาสสัมภาษณ์หุ่นยนต์บ้าง อยากถามว่าคิดอย่างไรบ้างกับมนุษย์ หรือเธอจะฆ่าพวกเราไหมในอนาคต (หัวเราะ) (เชื่อว่าสักวันพี่จะมีโอกาสนะคะ) ที่จะถูกหุ่นยนต์ฆ่าน่ะเหรอคะ (ไม่ใช่สิคะ! ที่จะได้สัมภาษณ์หุ่นยนต์ค่ะ) ที่จริงเคยแล้วนะ เมื่อห้าหกปีก่อนไปทำข่าวที่ญี่ปุ่น ได้พบ ดร.ฮิโรชิ อิชิกุโระ ผู้สร้างหุ่นยนต์ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาเปี๊ยบ พี่ได้ไปนั่งคุยกับหุ่นยนต์มา แต่เทคโนโลยีห้าหกปีที่แล้วยังไม่พัฒนาเท่าทุกวันนี้ การคุยกับหุ่นยนต์คือการนั่งคุยกับมนุษย์ที่อยู่อีกห้องหนึ่ง ที่กำลังคุยกับเราผ่านไมโครโฟน ถ้าเป็นเด็กๆ เราคงสนุก แต่พอโตแล้ว และได้รู้ว่าที่จริงเราก็กำลังคุยกับคนนั่นเองแหละ มันก็รู้สึกตื่นเต้นน้อยลง
11.39
- ก่อนหน้านี้พูดถึงการตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิต นั่นคือการไปเรียนต่อต่างประเทศ อะไรคือความทรงจำแจ่มชัดที่สุดของพี่ซู่ชิงของการไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์กคะ
มันคือภาพของการเดินไปโรงเรียนตอนเช้า ขณะที่ในหัวก็คิดว่า “ไม่อยากไปโรงเรียนเลย” เพราะขี้เกียจ (หัวเราะ) อีกอย่างคือความทรงจำเกี่ยวกับความใจดีของครอบครัวค่ะ เรื่องโฮสต์นี่เป็นอะไรที่ต้องวัดดวงกันพอสมควร เพราะนี่คือสิ่งที่เราเลือกเองไม่ได้ เขาต้องเป็นฝ่ายเลือกเรา สิ่งที่เราจำได้แม่นคือตอนได้เจอหน้าพวกเขาเป็นครั้งแรก และตอนได้เห็นบ้านเป็นครั้งแรก ตอนนั้นคิดในใจว่า “โอ้โห แจ็กพอต สบายไปทั้งปีแล้วเรา” เพราะบ้านใหญ่ม้าก
ได้ยินจากเด็ก AFS มาหลายคนเหมือนกันว่าเรื่องนี้ลุ้นกันมาก ได้ครอบครัวดีคือโชคดีไปเลย เล่าเรื่องครอบครัวที่โน่นให้ฟังหน่อยสิคะ
ช่วงปี 2000 เมืองไทยเพิ่งเริ่มใช้อีเมลกันมาไม่นาน ตอนนั้นจำได้ว่ารอคำตอบจาก AFS อยู่นานหลายเดือน เขาก็ยังไม่แจ้งมาสักทีว่าหาโฮสต์แฟมิลีให้เราได้แล้วหรือยัง เราก็เริ่มรู้สึกเหมือนลูกหมาที่ไม่มีใครเอาไปเลี้ยงเสียที (หัวเราะ) แต่มาวันหนึ่งก็ได้อีเมลจาก Host Mom บอกว่ายินดีต้อนรับสู่ครอบครัว และจะรอเจอตัวจริงนะ
ซึ่งพอที่สุดได้เจอกันก็ดีใจมาก และพบว่าพวกเขาเป็นคนดีมาก ทั้งพ่อ แม่ และลูกสาว ซึ่งก็กลายมาสนิทกันเหมือนพี่น้องจริงๆ จนทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่นะคะ พี่รอให้เขามาเยี่ยมที่เมืองไทยอยู่สิบกว่าปี เพิ่งได้มาจริงเมื่อปีที่แล้วนี่เอง เลยพาเขาไปหัวหินค่ะ แล้วก็ตลาดนัดจตุจักร แม่กับน้องสาวนี่พี่ว่าจะให้อยู่ที่นั่นไปเลยก็คงยอมนะ คืออยู่ช้อปกันไปยาวๆ ทั้งวัน เห็นอะไรก็กรี๊ด แบบ โอย ทำไมทุกอย่างสวยและถูก (หัวเราะ)
พี่ซู่ชิงอยู่ส่วนไหนของนิวยอร์กคะ รู้สึกจะไม่ใช่กลางเมือง
ไม่ใช่ค่ะ เป็นเมืองเล็กๆ ชื่อ Canandaigua ทางเหนือของรัฐนิวยอร์ก ชื่อเมืองเป็นภาษาพื้นเมือง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะแปลว่า กล้าหาญ มังคะ เริ่มอายที่ไม่รู้ความหมาย (หัวเราะ)
15.55
- ประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้โรงเรียนมัธยมในสหรัฐฯ ไม่เหมือนที่อื่น คือการไปงานเลี้ยงเต้นรำที่เรียกว่า พรอม โบได้ยินมาว่าพรอมของพี่ซู่ขิงเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยน่าจดจำ จะใจร้ายเกินไปไหมถ้าจะให้ขุดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าให้เราฟังกัน
พี่ว่าประสบการณ์ชีวิตมัธยมในสหรัฐฯ ของเราไม่ค่อยสนุกเพราะเราเป็นคนขี้อาย เข้าหาใครไม่เป็น ถ้าโบได้คุยกับเพื่อนสมัยมัธยมของพี่แล้วถามเขาว่าพี่เป็นคนยังไง เขาอาจตอบว่า แทบไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอเลย เป็นคนเงียบๆ เรียบๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ อะไรอย่างนี้ ตอนนั้นภาษาเราก็ยังไม่ดีนัก ความเป็นเอเชียซึ่งเป็นชนส่วนน้อยของโรงเรียนทำให้เรารู้สึกแปลกแยกอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครเข้าใจ ผ่านไปเกือบปีมีเพื่อนไม่กี่คน
ทีนี้พอพรอมใกล้เข้ามาเราก็เริ่มประหม่า เราเห็นจากในหนังจะรู้สึกว่าพรอมเป็นเรื่องใหญ่ และถ้าใครไม่ถูกชวนไปงานพรอมนี่คือขี้แพ้ไปเลย กลัวมาก กลัวไม่มีใครชวน (หัวเราะ) เครียดมาก มีวันหนึ่ง คุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่า พรอมใกล้เข้ามาแล้ว ยังไม่มีชุดเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสียใจที่เราไม่ชวนเขา คือเขาเป็นรุ่นน้องปีนึง แต่เราไม่ได้อยากไปกับเขาไง (หัวเราะ) คนที่อยากให้ชวนเขาก็ไม่ชวน แล้วเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ก็เริ่มน้ำตาคลอ เราก็เริ่มรู้สึกแย่ เลยพูดออกไปว่า อืม งั้นไปด้วยกันก็ได้ (สรุปคือชวนเขาด้วยความสงสาร) ใช่! คือเขาเป็นเพื่อนที่ดีนะ แต่เราไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้น ตกลงคือไปด้วยกัน และไม่สนุกเลย จำไม่ได้ว่ามีเรื่องอะไรกัน เหมือนเขาโกรธอะไรเราสักอย่าง คืนนั้นเลยมีแต่ความประดักประเดิด แต่เอาจริงๆ อย่างน้อยเราก็รู้สึกขอบคุณเขานะที่อยากไปพรอมกับเรา
20.32
- หนึ่งในสื่อที่เขาว่ากันว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง นอกจากสิ่งพิมพ์แล้ว ยังมีทีวีอีกอย่างที่อาการน่าเป็นห่วง โดนยูทูบกับเน็ตฟลิกซ์แย่งคนดูไปทุกวัน ในฐานะที่พี่ซู่ชิงเป็นคนทีวี ตอนนี้กังวลกับเรื่องนี้แค่ไหนคะ
กังวลเลยแหละ เราเชื่อนะว่าคนยังดูทีวี แต่แน่นอนว่าน้อยลงมาก ไม่ต้องคนอื่น ดูจากตัวเองนี่แหละ การเสพสื่อของเราเองก็เปลี่ยน กลับถึงบ้านก็ไม่เปิดทีวีเหมือนที่เคยทำ ตอนนี้เช็กโทรศัพท์ก่อนเลย หรือต่อให้เปิดทีวี ก็เปิดทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจดู เพราะความสนใจหลักเราอยู่ที่มือถือ แล้วพอได้รู้จักเน็ตฟลิกซ์ปั๊บ ทั้งคืนไปเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นคนดูทีวีน้อยลงแน่ๆ แล้วการที่มีฟรีทีวีผุดขึ้นมาแข่งกันอีกกว่าสามสิบช่องก็ไม่ได้ช่วยเลยนะ คือมันมาผิดจังหวะ มันสายเกินไปแล้ว คนเขารู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องง้อทีวีเพื่อข่าวสารและความบันเทิงอีกต่อไป ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำเพื่อความอยู่รอดในวันนี้คือการขยายออกไปให้มากกว่าทีวี เราต้องทำคอนเทนต์เพื่อแพลตฟอร์มอื่นๆ ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ อินสตาแกรม ให้เหมาะสมกับแต่ละอย่างโดยเฉพาะด้วย เราว่าทีวีรอดแน่ แต่ต้องปรับตัวเยอะค่ะ
พี่ก็ติดเน็ตฟลิกซ์นะ นี่พูดแล้วก็รู้สึกผิด (หัวเราะ) เพราะเราทำงานทีวีเราก็ควรดูทีวี แต่เน็ตฟลิกซ์มันดีตรงที่เราจะดูเมื่อไหร่อย่างไรแค่ไหนก็ได้ตามใจเราไง
23.36
“I love Netflix, and I feel bad saying that because I’m supposed to be watching TV since I produce TV content. But Netflix is good because it’s on your terms.”
26.16
- ช่วงต่อไปชื่อ What’s Your Take On เลือกหนึ่งจากสามหัวข้อนี้มาถกกัน
– Superstitions: ความเชื่อโชคลาง
– Weddings: งานแต่งงาน
– Startups: สตาร์ทอัพ
ด้วยความเป็นนางฟ้าไอที พี่ควรคุยเรื่องสตาร์ทอัพใช่ไหม แต่วันนี้คุยเรื่องอื่นดีกว่า มาคุยเรื่องงานแต่งกัน
คนไทยเนี่ย พองานแต่งใหญ่โตก็จะโดนหาว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่พองานเล็กก็จะโดนหาว่าไม่ให้เกียรติญาติผู้ใหญ่
พี่ว่าพี่เข้าใจว่าทำไมคนยอมจ่ายเงินเพื่องานแต่งงานใหญ่โตนะ เพราะมันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต-หวังว่าจะครั้งเดียวนะ (หัวเราะ) และเราก็เป็นสังคมที่มีความเสียหน้าไม่ได้ แต่สำหรับพี่ พี่ไม่ค่อยแคร์นะ คือไม่จัดงานเลยก็ยังได้ เราว่ามันเป็นสิ่งที่แต่ละคนมีสิทธิ์เลือก ถ้าคุณอยากจัดงานใหญ่มันก็เงินของคุณ คุณตัดสินใจเองเลย ไม่ควรมีใครต้องมาทำให้เรารู้สึกแย่กับงานแต่งของเรา ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม งั้นพี่ถามโบบ้าง งานแต่งของโบเป็นยังไงคะ
ใหญ่บึ้มค่ะ (หัวเราะ) ที่จริงโบอยากได้งานเล็กๆ ส่วนตัวๆ นะ ตอนนั้นเลยเลียบๆ เคียงๆ เสนอแฟนว่า เราแต่งแบบ Destination wedding ไหม อย่างไปแต่งริมทะเลอะไรงี้ หรือจัดงานเล็กๆ เฉพาะเพื่อนฝูงญาติพี่น้องอะไรแบบนี้ดีไหม เขาตอบเลยว่า พ่อเขาไม่ยอมหรอก (หัวเราะ) คือพ่อแม่เขาก็เพื่อนเยอะ เราก็เข้าใจ แต่ที่สุดแล้วโบก็ดีใจที่จัดงานแบบนี้ เพราะนั่นเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย
ก็ถ้ามีเงิน แล้วเราอยากใช้เงินกับสิ่งที่สำคัญและมีความหมายกับเรา ทำไมจะไม่ได้ จริงไหม
พี่เนี่ยไปเป็นพิธีกรงานแต่งมาแล้วเยอะมาก ทุกครั้งจะไปด้วยความรู้สึกเฉยๆ เพราะเราทำมาเยอะ แต่พอถึงงานจริงก็ซึ้งน้ำตาแตก (หัวเราะ) พองานจบก็ เออ เฉยๆ ละ แต่พอมาอีกงานก็เอาอีกแล้ว เหมือนเดิม ซึ้งอีกแล้ว อยากมีงานแต่งแบบนี้จังเลย (หัวเราะ)
เดี๋ยวนะ ขอคุยเรื่อง superstitions ด้วยได้ไหมอะ น่าสนุก (หัวเราะ)
31.21
- ได้ค่ะ (หัวเราะ) คนไทยนี่ความเชื่อเยอะมาก วันนี้ต้องใส่สีอะไร ต้องก้าวเท้าไหนออกจากบ้านก่อนถึงจะดี ดวงวันนี้ผู้ใหญ่จะเอ็นดูเราไหม ฮวงจุ้ยอีก บ้านนี่ต้องแก้แล้วแก้อีก
คุยเรื่องดูดวงดีไหม คือเห็นภาพลักษณ์เป็นสาวไอทีอย่างนี้ บางทีเราก็ไปดูกับเขาเหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่ไม่ควรหรือเปล่า (หัวเราะ) แต่เวลาเรามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจหรือเป็นทุกข์มากๆ แล้วยังหาทางออกไม่ได้ การดูดวงก็ช่วยให้สบายใจนะ อย่างปีก่อนปัญหาความรักหนักมาก เลิกกับแฟน เศร้ามาก หมดหวังกับชีวิต ความรู้สึกตอนนั้นคือ อยากให้มีใครสักคนมาบอกกับเราว่า ชีวิตยังมีหวัง เราจะไม่เป็นไร เดี๋ยวก็จะดีขึ้น เราคุยกับเพื่อน เขาก็บอกว่า ไม่แปลกหรอกที่เราจะดูดวงหรือดูหมอบ้าง เพราะบางทีเขาอาจเสนอทางเลือกหรือมุมมองใหม่ๆ ที่เราคิดไม่ถึงก็ได้
สุดท้ายก็ไปมา แล้วก็พบว่า การดูหมอ ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย (หัวเราะ) ไม่เลยซักนิด แต่มันทำให้เราเข้าใจนะว่าทำไมคนถึงไปดูหมอกัน มันต้องการความมั่นใจในชีวิตอะ มันก็โอเคนะ ตราบใดที่ไม่งมงายหรือเสียเงินเสียทองเยอะเกินไป
มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง หมอดูทักว่าจะไม่ได้แต่งงานจนอายุ 35 ตอนนั้นนางอายุประมาณ 30 พอหมอบอกอย่างนี้ ก็เลยไปคบหนุ่มคนหนึ่งซึ่งปกติไม่ใช่สเปก นางบอก โฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก คบเล่นๆ ไปก่อน ไม่ใช่คนนี้หรอก หมอบอกแล้ว ต้องรอถึง 35 คนที่ใช่ถึงจะมา แล้วยังไง แต่งงานกันค่า (หัวเราะ) หกเดือนหลังจากคบกัน ไม่ได้ใกล้เคียง 35 เลยด้วยซ้ำ
นี่ไง บางทีมันกลายเป็นดีไปซะ ถ้าหมอไม่ทักอย่างนั้น นางคงไม่ลองคบคนนี้แต่แรกแล้ว หรือจะเป็นเพราะหมอรู้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ก็ได้นะ อืม น่าคิด
32.22
“Presenting myself as an IT girl, I’m not supposed to want to ดูดวง, but I find that it’s comforting sometimes. When you’re in trouble you can’t solve and you don’t see any way out…“It happened to me last year. I was in a bad breakup. I was really really sad. I kinda lost hope in life. I needed someone to tell me that there’s still hope. I needed to be told that I’m gonna be okay…“My friend told me there’s nothing wrong with going to the fortune-teller or maybe checking your horoscope. Maybe they can give you more options you never thought of. Maybe they can give you the third way out…“So I did go, and ended up not feeling any better (laugh) but I totally understand now why people go to fortune-teller…”
35.34
- ช่วงสุดท้ายของรายการคือ What If จับคำถามจากโหลแล้วตอบเลยค่ะ มิสไทยแลนด์
จะให้เป็นนางงามอีกเหรอคะ พี่เป็นนางฟ้าอยู่แล้วนะคะอย่าลืม (หัวเราะ)
คำถามค่ะ “ถ้าให้เลือกได้ อยากมีพลังพิเศษอะไร”
ให้เป็นนางงาม ตามธรรมเนียมต้องพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำถามค่ะ” งั้นขอพลังพิเศษที่สามารถทำให้ตัวเองมีพลังพิเศษมากขึ้นเรื่อยๆ คือแบบ วันนี้ขอพลังพิเศษในการอ่านใจคน พรุ่งนี้ขอพลังพิเศษที่จะไปไหนก็ได้ วันต่อๆ ไปก็จะเป็นพลังพิเศษใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ยังงี้ได้ไหมคะ
โอเค ได้เลยค่ะ โลภนะคะ (หัวเราะ) แต่ก็ดีนะ ใครบ้างจะไม่อยากได้พลังแบบนี้
แต่ถ้าให้เลือกอย่างเดียวจริงๆ เอาแบบ มีประโยชน์ต่อชีวิตจริงๆ อยากได้พลังที่จะไม่แคร์สิ่งที่คนอื่นคิดหรือพูดเกี่ยวกับเรามากเกินไป เรียกว่าพลังของการปล่อยวางแล้วกัน อยากปล่อยวางได้มากกว่านี้ เป็นคนเครียดง่าย และบางทีก็กล่าวโทษหรือเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องงาน เรื่องความรักความสัมพันธ์ก็ด้วย ความสามารถในการปล่อยวางมีประโยชน์กว่าที่คิดนะคะ ถ้าทำได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย
37.35
“If I could have one superpower, it would be the power of not caring what other people think of me so much. I wanna have the power of letting go. I get stressed easily and sometimes I’m too hard on myself. The power of letting go is something that’s being taken for granted. If you can just let things that should be let go go, your life would be much happier.”
Credits
The Host สาวิตรี สุทธิชานนท์
The Guest จิตต์สุภา ฉิน
Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข
Episode Producers ภูมิชาย บุญสินสุข
อธิษฐาน กาญจนพงศ์
ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Episode Editor ภูมิชาย บุญสินสุข
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director กริณ ลีราภิรมย์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Music Westonemusic.com
เกมโปรดของซู่ชิงสมัยห้าขวบ
Classic Macintosh Game – Shufflepuck Café (1988)
หุ่นยนต์คุยกันเรื่องอนาคตของมนุษยชาติ
Rise 2017- Hanson Robotics – two robots debate the future of humanity
ดร. ฮิโรชิ อิชิกุโระ ผู้สร้างหุ่นยนต์ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเขาเปี๊ยบ
Humanoid Robot – Gemonoid HI-1 Android Prototype
เมืองที่ซู่ชิงไปเรียนแลกเปลี่ยนมาหนึ่งปีในโครงการ AFS
ซีรีส์ทาง NetFlix ที่โบพูดถึง
Grace and Frankie | Official Trailer [HD] | Netflix
13 Reasons Why | Official Trailer [HD] | Netflix
ซีรีส์สารคดีทาง NetFlix ที่ซู่ชิงพูดถึง
The Keepers | Official Trailer [HD] | Netflix
ไปฟอลโลว์รายการ CoolTech ของซู่ชิงกันเถอะ