×

มาเรียม B5 คุยเรื่องโรงเรียนร้องเพลง มูราคามิ และการสูญเสียคนรัก

06.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

Time index

00:09 Introduction

05:12 We need to talk about ‘Singing school’

15:55 We need to talk about ‘How to read Murakami’

22:45 We need to talk about ‘The loss’

29:26 We need to talk about ‘มาตรฐานความสวยของสาวไทย’

38:28 We need to talk about ‘ถ้าให้เลือกว่าจะร้องเพลงคู่กับใครก็ได้…’

รู้ไหมว่ามาเรียมเริ่มร้องเพลงด้วยความบังเอิญ… รู้ไหมว่ามาเรียมชอบอ่านมูราคามิมาก… และรู้ไหมว่าเมื่อเธออายุ 19 ปี คนรักของเธอจากไปด้วยการฆ่าตัวตาย…

 


 

00:09

สวัสดีค่ะ โบ สาวิตรี นะคะ This is WE NEED TO TALK Podcast พอดแคสต์ทอล์กโชว์ภาษาอังกฤษ สำหรับคนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษค่ะ

 

Hi, you guys. Welcome to our show! Thank you so much for listening.

 

ตามธรรมเนียมของ WE NEED TO TALK โบจะชวนเกสต์ของเราคุย 3 ประเด็น ถ้าเป็นพี่มาเรียมเนี่ย โบว่าเรื่องที่ต้องชวนคุยเป็นเรื่องแรกเลย แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องการร้องเพลง นี่คือนักร้องหญิงไทยที่ร้องเพลงเพราะที่สุดคนหนึ่งเลย กว่าจะมาถึงวันนี้เจออะไรมาบ้าง เดี๋ยวมาฟังกันค่ะ

 

เรื่องที่สอง คุณผู้ฟังรู้ไหมคะว่าพี่มาเรียมชอบอ่านหนังสือมาก และเห็นอย่างนี้เนี่ย แฟนตัวจริงของมูราคามิเลยนะ! โบได้ยินมาว่างานเขียนของมูราคามิเนี่ยมีความยากบางอย่าง แต่คนที่ติดใจจะหลงใหล ถวายตัวเป็นแฟนไปเลย งานเขียนของมูราคามิมีดีอะไร เดี๋ยวโบจะถามให้นะคะ

 

และเรื่องสุดท้ายเป็นสิ่งที่พูดไปก็เศร้า แต่พี่มาเรียมก็เล่าให้เราฟังค่ะ ที่จริงมันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอนะ นั่นคือความสูญเสีย โดยเฉพาะสูญเสียคนที่เรารัก พี่มาเรียมก็เป็นคนหนึ่งที่ผ่านมันมา และเต็มใจแชร์ให้เราฟัง เดี๋ยวมาฟังกันนะคะ

 

เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนโหมดเป็นภาษาอังกฤษกันแล้ว พร้อมหรือยังคะ

 

Ladies and gentlemen, it would be my pleasure to introduce our guest for this episode of WE NEED TO TALK podcast. She is one of the most talented singer whose voice and singing style is so unmistakable. And honestly, she is one of the most pleasant women I’ve met.

 

Mariam Grey

 

02:24

 

  • พี่มาเรียมอยากเป็นนักร้องมาตลอดหรือเปล่าคะ

 

ไม่เลยค่ะ ตอนเด็กๆ ก็จะอยากเป็นหมอหรืออะไรแบบที่เด็กทั่วไปเขาจะอยากเป็นกันนั่นแหละ แต่เวลาทำกิจกรรมที่โรงเรียนก็ชอบร้อง ชอบเต้นนะ แต่ไม่คิดไปถึงขนาดว่าอยากเป็นนักร้องหรอก

ตอนอายุ 9 ขวบได้เข้าวงร้องประสานเสียงของโรงเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจ คือครูมาบอกว่าคนขาดคนนึง มีใครสนใจไหม พี่ก็ยกมือ เสร็จแล้วก็ไปบอกแม่ว่า เออ เนี่ย ต้องเข้าวงแล้วนะ สัญญากับครูไว้แล้ว นั่นล่ะค่ะ เริ่มง่ายๆ อย่างนั้น ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า อยู่ไปอยู่มาเริ่มได้ร้องโซโล เราก็ เฮ้ ฉันก็ร้องเพราะอยู่นี่นา ตรงนี้เลยคือจุดเปลี่ยน เริ่มอยากเข้าโรงเรียนอาร์ตๆ ที่จะได้ร้องๆ เต้นๆ ทั้งวันทั้งคืน ก็ไปเจอโรงเรียนที่ออสเตรเลีย ก็ย้ายไปเลยค่ะ

ก่อนหน้านั้นไม่เคยเรียนร้องเพลงเลยนะ นอกจากการได้ร้องในวงประสานเสียง และต้องซ้อมทุกวัน แต่ก็เท่านั้นเอง

 

 

  • เคยได้กลับไปขอบคุณครูคนนั้นที่ชวนเราเข้าวงประสานเสียงไหมคะ เหมือนเขาช่วยเปลี่ยนชีวิตเราเลยนะ

 

เรายังเจอกันอยู่นะคะ และเคยขอบคุณแล้วด้วยว่านี่ถ้าหนูไม่ได้ครู ป่านนี้คงต้องเป็นหมอไปแล้ว (หัวเราะ)

 

05:12

 

  • ชีวิตในโรงเรียนเหมือนที่คิดไว้ไหมคะ

 

ทั้งเหมือนและไม่เหมือน แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อย่างที่เห็นในหนังเลย เพราะที่สุดแล้วเรายังต้องเรียนเลข หรือวรรณคดี แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่พี่ชอบวิชาวรรณคดี

แต่ทีนี้เรื่องของเรื่อง เมื่อก่อนเนี่ยใครๆ ก็จะบอกว่าเราร้องเพลงเพราะมากอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็จะ แหม ไม่หรอกค่ะ แต่ในใจก็คิดระดับหนึ่งนะว่า ฉันก็ไม่ใช่กระจอกๆ ได้ร้องเดี่ยวบ่อยๆ อะไรแบบนี้ จนกระทั่งเราเข้าไปเรียนที่นี่ แล้วพบว่าทุกคนเก่งหมด! ช็อกไปเลย เรากระจอกไปเลย เลยต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จริงๆ กับสิ่งที่เรานึกว่าเราทำได้ดีอยู่แล้ว เป็นไงล่ะ เครียดนะกับการต้องพยายามผลักตัวเองขึ้นไปให้อยู่ในมาตรฐานของคนอื่นให้ได้ ปีแรกหนักมาก บอกเลย ซ้อมหนักทุกวัน ซ้อมถึงสามทุ่ม กลับบ้านดึกตลอด เช้าก็ต้องรีบตื่นมาโรงเรียน อย่างที่บอกว่าเรายังต้องเรียนวิชาพื้นฐานอื่นๆ อยู่ด้วยในช่วงครึ่งวันเช้า ยกเว้นวันศุกร์ที่เราจะเรียนวิชาหลักของเราทั้งวัน ใครเอกเต้นก็ไปเต้นทั้งวัน ใครเอกดนตรีก็ไปเล่นทั้งวัน วิชาสามัญอาจจะไม่โหดเท่าโรงเรียนทั่วไปก็จริง เพราะเขาก็หย่อนๆ ให้หน่อย แต่ยังไงก็ต้องสอบให้ผ่านล่ะ

เครื่องดนตรีก็เล่นนะ เคยตีกลอง เคยเล่นเบส ตอนนี้เล่นไม่ได้แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่ต้องเรียนคือเปียโน เพราะถ้าวิชาหลักคือร้องเพลง เขาบอกว่าควรเรียนเปียโนเป็นวิชารอง มันจะช่วย

ที่โรงเรียนนี้เป็นครั้งแรกที่เราตระหนักว่าการร้องเพลงยากแค่ไหน

พอขึ้นปีสอง อะไรก็ง่ายขึ้น เริ่มมีเพื่อน เครียดน้อยลง

ตอนอายุ 12 พี่เคยเรียนเขียนเพลงกับพี่บอย โกสิยพงษ์ ตอนนั้นก็เลยได้เริ่มร้องแบ็กอัพ นั่นคือช่วงก่อนจะย้ายไปเรียนออสเตรเลียค่ะ

ทุกครั้งที่เห็นพี่บนเวทีในช่วงนั้นแปลว่าโรงเรียนปิดเทอมนะ คือจะบินมาขึ้นคอนเสิร์ต แล้วก็บินกลับไปเรียนต่อ ร้องแบ็กอัพสนุกนะคะ ได้เจอศิลปินที่เราชอบเยอะแยะ Pause, Moderndog แต่มาถึงวันที่ได้เป็นหนึ่งใน B5 มันเป็นอีกแบบ เราได้ปลดปล่อยตัวตนของเราออกมาจริงๆ บนเวที แทนที่จะได้เป็นเงาของคนอื่น

 

11:21

 

  • แนวเพลงที่ถนัดของพี่มาเรียมคือแนวไหนคะ

 

พี่ชอบเพลงโซลที่สุด ศิลปินที่เป็นไอดอลของพี่คือ ดอนนี แฮทธาเวย์ ที่จริงพี่ก็ชอบทุกแนวนะ พี่พยายามเปิดตัวเองให้กว้างที่สุดในการฟังเพลงทุกแบบ ศิลปินคนโปรดอีกคนคือ บ็อบ ดีแลน คือชอบหลากหลายแหละ แต่ที่สุดคงเป็นโซล (อินสตาแกรมของพี่มาเรียมเลยใช้ชื่อว่า soul_child ใช่ไหม) ที่จริงนั่นเป็นชื่อเล่นที่ครูสอนร้องเพลงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยตั้งให้ค่ะ เพราะพี่จะเลือกร้องแจ๊ซกับโซลตลอด

 

12:17

 

  • ทุกวันนี้มีประกวดร้องเพลงเยอะมาก และต่อให้ชนะก็ไม่ได้การันตีเลยว่าจะได้เป็นนักร้องอาชีพแน่ๆ อยากจะบอกอะไรกับคนที่กำลังตัดสินใจลงประกวดไหม

 

ชีวิตนี้พี่ไม่เคยชนะการประกวดร้องเพลงเลยนะ พี่ว่าการแพ้มันไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุด และการชนะก็ไม่ใช่ทุกสิ่ง ชนะมาก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องประสบความสำเร็จ แพ้มาก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ถ้าอยากประกวดเอาสนุก เอาเลย หาประสบการณ์ ได้เพื่อนด้วย การได้ฝึกฝนตัวเองภายใต้ความกดดันเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่อย่าลืมว่าที่สุดแล้ว เรากำลังแข่งกับตัวเองนี่แหละ เราต้องเอาชนะตัวเอง และเก่งกว่าตัวเราในเมื่อวานให้ได้ อย่าไปมองเรื่องการเอาชนะคนอื่น ฝึกฝนตัวเองดีกว่า และอย่าไปหมกมุ่นมากกับชื่อเสียงและความสำเร็จ อย่าไปเฆี่ยนตีตัวเองมากเกินไปถ้าวันนี้ยังไม่ถึงจุดหมาย ของอย่างนี้เป็นเรื่องของโอกาสด้วยนะพี่ว่า อย่างกรณีของพี่ก็ใช่ เราอยู่ถูกที่ ถูกเวลา มันเป็นเรื่องของดวงหรือโชคสักครึ่งหนึ่งนะของอย่างนี้

 

 

13:00

“Losing is not the end of the world, and winning is not everything.”

คนอาจจะลืมไปว่านักร้องที่ดีมีหลายแบบ ทั้งนักร้องสายเทคนิค ทั้งนักร้องสายอารมณ์ อย่าง โจนี มิตเชลล์ นี่พี่ก็ไม่คิดว่าเธอจะชนะการประกวดร้องเพลงที่ไหนได้ หรือ บ็อบ ดีแลน ก็ด้วย ลองนึกภาพดีแลนลงแข่ง The X-Factor สิ ครึ่งนาทีได้กลับบ้านแน่ๆ เราว่าคาแรกเตอร์ต่างหากที่สำคัญ มันจะทำให้คนจดจำคุณได้ มันจะทำให้คุณพิเศษ ไม่เหมือนใคร

 

14:39

“People get confused of what a good singer is. There are good singers with great techniques, but don’t forget that there are singers with emotions, too. I don’t think Joni Mitchell would ever win a singing competition. Or Bob Dylan… Imagine Dylan on The X-Factor… I think he’ll be out within 30 seconds!”

15:55

 

  • รู้มาว่าพี่มาเรียมรักการอ่านมาก และเป็นแฟนมูราคามิด้วย

 

พี่อ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อพี่อ่านหนังสือเยอะ พ่อบอกรับสมาชิก Reader’s Digest ส่งมาจากต่างประเทศทางไปรษณีย์ทุกเดือน พี่ก็เริ่มอ่านจากตรงนี้แหละ อ่านไปทีละคำ และอ่านทุกคำ ก็เลยรักการอ่านมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่หนังสือเรียนนี่ไม่ค่อยอ่านนะคะ (หัวเราะ) อะไรที่ถูกบังคับให้อ่านน่ะจะไม่อยากอ่าน

บางเล่มที่โรงเรียนให้อ่านเราว่ามันก็โตไปนะ พวก 1984 หรือ Animal Farm หรือ The Catcher in the Rye หรือโศกนาฏกรรมกรีกที่นางเอกจับผัวตัวเองมาเฉือนเป็นชิ้นๆ แล้วเผาอะไรพวกนั้น คือเดี๋ยวนะ ให้เราอ่านอะไรอะ เราเพิ่งสิบขวบเองนะ! (หัวเราะ) แต่มาอ่านตอนนี้คือดีนะ เพราะวัยมันได้แล้วไง

 

18:40

 

  • มูราคามินี่ไม่ได้อ่านง่ายใช่ไหม ไม่ใช่หนังสือสำหรับคนใจเสาะเนอะ เพราะมันจะมีความยากบางอย่าง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

 

ทั้งใช่และไม่ใช่นะคะ สำหรับพี่ พี่ว่าอ่านง่าย แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งให้เพื่อนไปอ่าน คนนี้เป็นสถาปนิก สมองเขาจะคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลมาก เขาก็จะอ่านแล้วบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น พี่ก็บอกว่าอย่าไปคิดแบบนั้นสิ เทคนิคในการอ่านหนังสือของมูราคามิคือลืมเรื่องที่ว่าอะไรเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ไปซะ แล้วยอมรับว่าทุกอย่างในหนังสือคือความเป็นจริง

ที่ชอบก็เพราะเรารู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาเขียน ต่อให้เป็นเรื่องเหนือจริง พี่ว่าเราเคยรู้สึกแบบนี้ ตั้งแต่เด็กเลย มีอยู่คืนหนึ่งนานมาแล้ว นอนไม่หลับ แล้วเราเห็นภาพอะไรบางอย่าง ก็ถามตัวเองว่านี่คือฝันหรือจริง สไตล์การเขียนของมูราคามิเป็นอะไรแบบนั้นล่ะ

ครั้งแรกที่ได้อ่านงานของเขา พี่ฝันร้ายไปเป็นอาทิตย์เลยนะ ไม่ออกไปไหนเลย ช่วงนั้นต่อต้านสังคมไปเลย เก็บตัวอยู่บ้าน อ่านแต่หนังสือเล่มนั้น หมกมุ่นมาก

ถ้าอยากเริ่มอ่านมูราคามิ ลองอ่านแบบนอน-ฟิกชันก่อนก็ได้นะคะ ก็จะมี What I Talk About When I Talk About Running แต่ถ้าอยากเข้าสู่โลกวรรณกรรมในแบบของมูราคามิจริงๆ เล่มที่อ่านง่ายที่สุดคงจะเป็น Norwegian Wood เล่มนี้ที่จริงพี่ชอบน้อยสุดเลย แต่น่าจะช่วยให้คนทั่วไปเริ่มอ่านงานของเขาได้ง่ายขึ้น

เล่มแรกที่พี่อ่านคือ The Wind-Up Bird Chronicle คือหนาประมาณสองนิ้ว

วิธีเตรียมตัวอ่านมูราคามิคือลืมความเป็นจริงทั้งหมด เตรียมตัวเตรียมใจกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และอย่าช็อก สงบสติอารมณ์ อ่านไปเรื่อยๆ เชื่อว่าทุกสิ่งที่ตัวหนังสือเล่าล้วนเป็นความจริง

19:09

“The technique of reading Murakami is forgetting what is real and what isn’t and just accept everything as reality.”

22:45

 

  • สุดท้ายนี้เราต้องคุยเรื่องเศร้ากันนิดนึง เพราะมันเป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากให้เกิด แต่เราก็เลี่ยงไม่ได้ นั่นคือเรื่องความสูญเสีย

 

เมื่อเร็วๆ นี้คุณยายเสียค่ะ ถึงตอนนี้ก็ยังคงพยายามจะผ่านความรู้สึกเสียใจตรงนั้นไปให้ได้อยู่ เมื่อสมัยอายุ 19 เสียแฟน เราทะเลาะกัน แล้วเขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

เราอายุยังน้อย แต่ต้องเจอเรื่องที่หนักหนามากของชีวิต พี่ไปคุยกับครูเลยว่า หนูว่าหนูสอบไม่ไหว ตอนนั้นพี่เลือกที่จะยอมรับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ฝืน ถ้ามันต้องเศร้า ก็ต้องปล่อยให้ตัวเองเศร้า จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้อยู่เป็นเดือนๆ เลยนะ กลางวันก็ปกติแหละ แต่กลางคืนนี่ไม่ไหวเลย

เราเลี่ยงไม่ได้หรอก ของอย่างนี้ยังไงมันต้องเกิด คนที่รักต้องจากเราไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะด้วยอุบัติเหตุ ด้วยมือของพวกเขาเอง หรือธรรมชาติพรากไป แต่ที่สุดแล้วนี่คือส่วนหนึ่งของชีวิต ความตายไม่ใช่สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการมีชีวิต แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราต้องยอมรับ

คนที่ยังอยู่น่ะยาก มันไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่ลองคิดดูสิ คนที่จากไปเขาน่าจะหวังดีกับเรานะ เขาคงอยากให้เรามีความสุข ยายพี่ก็คงอยากให้พี่มีความสุข ทำงานที่เรารัก ยายพี่ชอบร้องเพลง ยายคงอยากให้พี่ร้องเพลงต่อไป สืบสานสิ่งที่ยายรักต่อไป ความคิดทั้งหมดนี้แหละที่เราเอามาใช้เพื่อก้าวผ่านความเศร้าที่เราสูญเสียคนที่เรารักไป

 

24:32

“These things happen. You lose people. Sometimes by accidents, sometimes they took their own lives, or sometimes nature took them away. It’s a part of life. It’s not the opposite of life. Death is a part of it.”

 

ที่สุดแล้วเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป และสำคัญที่สุดคือเวลาไม่หยุดรอเรานะ ยิ่งเราเสียเวลากับการเศร้ามากเท่าไร เวลาที่เราจะเหลือเพื่อมีความสุขยิ่งน้อยลงเท่านั้น

 

26:00

“You have to live your life. And the most important thing is time doesn’t stop. The more time you spend grieving and moping, the less time you have to be happy.”

 

คือเศร้าเถอะ แต่เศร้าแค่พอสมควร แล้วก้าวต่อไป และไม่ได้บอกให้ลืมเขานะ แต่เก็บเขาเอาไว้ในหัวใจ เก็บเอาไว้พร้อมกับความทรงจำดีๆ แทนที่ความทรงจำเศร้าๆ ตอนเราเสียเขาไป

บางคนก้าวต่อไม่ได้เลย ไม่ใช่แค่เรื่องตายจากกัน แต่เรื่องเลิกกันก็ด้วย อย่างพี่นี่นานๆ ทีก็โอเค ปล่อยให้ตัวเองคิดถึงเขา แต่อย่าปล่อยให้ความคิดถึงเขามาควบคุมชีวิตของเรา เพราะอย่าลืมว่าเรายังต้องใช้ชีวิตของเรา เรายังมีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง อย่าติดแหงก

ตอนอายุ 16 พี่ก็มีปั๊ปปี้เลิฟกับหนุ่มหล่อในฝันนะ แต่มาวันหนึ่งก็พบว่าเขากิ๊กกับผู้หญิงอีกเพียบเลย รวมถึงเพื่อนสนิทพี่ด้วย! อกหักสิ ก็ช้ำไปอีกนาน เวลาผ่านไปยี่สิบปี ไหนลองเสิร์ชดูซิ ป่านนี้เป็นยังไง ก็ไปเจอว่ามีลูก มีเมีย ครอบครัวอบอุ่น นี่ไง เขามารับรู้ด้วยไหมว่าเราเศร้าและติดหล่มชีวิตตัวเองแค่ไหน ไม่เลย ก็เลยคิดได้ว่าเราต้องไม่ปล่อยให้สิ่งที่คนอื่นทำกับเราทำให้เราหยุดใช้ชีวิต

 

29:26

 

  • ช่วงนี้คือ ‘What’s Your Take On’ เลือกหนึ่งจากสามประเด็นมาถกกัน

 

Music streaming

Thai lakorn

Beauty standard of Thai people  

ข้อแรกมันเป็นไปตามธรรมชาติของโลกเทคโนโลยีเนอะ เราไปห้ามไม่ให้มันเกิดไม่ได้ ข้อสองนี่ก็ลูกค้าทั้งนั้นค่ะ (หัวเราะ) เราร้องเพลงละครเยอะ ไปวิจารณ์อะไรมากเดี๋ยวเขาไม่จ้าง (หัวเราะ)

ที่เลือกข้อสามนี่ไม่ใช่เพราะพี่เองก็มาแนวอวบนะ แต่เราเห็นผู้หญิงเยอะมากที่ตัวเล็กกว่าพี่มาก แต่ทำไมเขารู้สึกแย่กับรูปร่างตัวเองได้ถึงขนาดนั้น เขาสวยนะ แต่อาจไม่ขาวเท่าที่เขาอยากเป็นเท่านั้นเอง คือ โอ๊ย ฉันดำเกินไป หรือบางทีก็ โอ๊ย ฉันขาวเกินไป คือจะรู้สึกว่าอะไรมากไปหรือน้อยไปเสมอ ไม่เคยพอใจในตัวเอง

ตัวพี่เองเคยผอมกว่านี้ เคยอ้วนกว่านี้ แต่สมัยอยู่เมืองนอกมันไม่เคยเป็นประเด็นที่ทำให้เรากังวลเลยนะ จนมาถึงเมืองไทยนี่แหละ คนทักทันที อ้วนจัง หรืออะไรอีกมากมายที่ไม่มีทางที่เราจะได้ยินคนที่ออสเตรเลียพูดใส่หน้ากันเด็ดขาด เราจะพยายามพูดถึงกันด้วยวิธีอื่น เช่น ซาร่าห์คนที่ตาโตๆ ไม่ใช่ซาร่าห์คนที่อ้วนๆ อะไรแบบนั้น แต่บ้านเราจะยัยอ้วน ยัยผอม ยัยดำ ยัยซีด คือที่เมืองนอกก็พูด มีคนแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่เยอะเท่าที่นี่

ดำผิดตรงไหน สวยออก ขาวก็สวย ความสวยมันมาในทุกรูปแบบ ทุกขนาด ทุกสี ถ้าคุณมองไม่เห็นความงามที่หลากหลายก็น่าเสียใจด้วยจริงๆ พี่เจอมาแล้ว สาวอ้วนมากๆ แต่มีเสน่ห์เหลือเกิน ในขณะเดียวกันพี่ก็เคยเจอสาวที่สวยมาก แต่ไม่มีเสน่ห์เลย ความสวยมันไม่ได้อยู่แค่ภายนอก

 

32:08

“What’s wrong with darker skin? I think it’s pretty. And light skin is pretty, too. Beauty comes in all shapes, sizes,  colors and shades. If you can’t see it, I feel sorry for you…

“I’ve seen girls who are a lot overweight, but I still see their beauty and their charisma. And I’ve seen some really pretty girls with no charisma as well. Beauty is not all about the outside…”

 

 

  • โบว่าอาจจะเป็นเพราะคนสมัยก่อนผิวคล้ำเพราะทำไร่ทำนา ภาพเลยติดมาว่าถ้าผิวคล้ำกรำแดดคือชาวนาชาวไร่ เป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง ซึ่งความคิดแบบนี้น่าเศร้านะ โบเองตอนกลับมาจากอเมริกา พอถึงปุ๊บ คำแรกที่ญาติทักคือ “ทำไมอ้วนจัง” แล้วตอนนั้นโบหนัก 45 กิโลฯ เองนะคะ ผอมกว่าตอนนี้อีก แล้วเขาก็ทักต่อ “ทำไมตัวดำ อยู่เมืองนอกมานึกว่าจะขาว” อ้าว โบชอบแทนไง

 

ใช่ เอาต์ดอร์ไง ไปเซิร์ฟมาไง คือหยุดเดินห้างได้แล้วพวกเธอ ไปทำกิจกรรมกลางแจ้งเสียบ้าง! (หัวเราะ) พี่ว่านะ เรื่องแบบนี้คือกระแสเสมอ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่มันเกิดจากการทำตามคนดังกับคนสวย อะไรที่คนดังทำก็จะสวยขึ้นมาทันที

 

34:41

“It’s always trending, though. It’s never something that’s real. It’s because someone famous and pretty is doing it.”

 

อย่างเรื่องศัลยกรรมนี่พี่ไม่ต่อต้านเลยนะ ทำแล้วมีความสุขทำเลย แต่อย่าทำเพราะรู้สึกว่าฉันไม่สวย สวยสิ แค่เธอไม่เห็นความสวยของตัวเอง

นอกจากสาวไทยควรจะยอมรับความสวยในแบบของตัวเองแล้ว หนุ่มไทยก็ด้วยนะ เพราะบางทีเขามีภาพว่าแฟนเราต้องขาว เอวคอด แต่บางทีคุณอาจไปตกหลุมรักคนที่ต่างจากภาพในใจนั่นโดยสิ้นเชิง แล้วบางคนก็อาจรู้สึกอายและไม่ยอมรับตัวเองที่ไปตกหลุมรักคนที่ไม่สวยในแบบที่อยากได้มาเป็นแฟน

 

37:47

“Even the guys, they’re like, oh my girlfriend has to be fair-skinned, with tiny waist, but sometimes you might fall in love with something completely different.”

 

38:28

 

  • ช่วงสุดท้าย คือ ‘What If’ คำถามคือ ถ้าพี่มาเรียมสามารถเชิญใครก็ตาม ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ได้ให้มาร้องเพลงคู่กัน จะเชิญใคร และจะร้องเพลงอะไรคะ

 

ยาก ไม่ใช่เพราะนึกไม่ออกนะคะ แต่เพราะนึกออกเต็มไปหมด สติงแล้วกัน รักมาก เพลงอะไรดี เลือกเพลง Fragile ของเขาแล้วกันค่ะ ตอนแรกจะบอกว่า บ็อบ ดีแลน แต่คิดไปคิดมา เพลงคู่ไม่น่าจะเวิร์กเนอะ (หัวเราะ)

 


 

Credits

The Host สาวิตรี สุทธิชานนท์

The Guest มาเรียม เกรย์

 

Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข

Episode Producers ภูมิชาย บุญสินสุข

อธิษฐาน กาญจนพงศ์

ปวริศา ตั้งตุลานนท์

Episode Editor ภูมิชาย บุญสินสุข

Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ

Coordinator & Admin อภิสิทธิ์​ หรรษาภิรมย์โชค

Art Director กริณ ลีราภิรมย์

Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

Music Westonemusic.com

 

FYI

Donny Hatthaway ศิลปินโซลคนโปรดของมาเรียม ลองฟังดูๆ เราไปเจอคลิปรวมเพลงฮิตสองชั่วโมงบนยูทูบ เอามาฝากให้ฟังกันฟินๆ ยาวๆ

https://www.youtube.com/watch?v=4wPijBgxLNs

 

หนังสือ 1984

เขียนโดย จอร์จ ออร์เวล (George Orwell)

แปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง, อำนวยชัย ปฏิพัทธ์เผ่าพงษ์

สำนักพิมพ์: สมมติ

http://readery.co/publishers/sommadhi/9786167196442

 

หนังสือ Animal Farm

สงครามกบฏของสรรพสัตว์

เขียนโดย จอร์จ ออร์เวล (George Orwell)

แปลโดย บัญชา สุวรรณานนท์

สำนักพิมพ์ ไต้ฝุ่น

http://typhoonbooks.com/2372

 

หนังสือ The Catcher in the Rye

จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น

เขียนโดย J. D. Salinger

แปลโดย ปราบดา หยุ่น

สำนักพิมพ์ ไลต์เฮาส์พับลิชชิ่ง

http://readery.co/9786168053027

 

หนังสือ What I Talk About When I Talk About Running

เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง

แปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์

สำนักพิมพ์ กำมะหยี่

http://readery.co/9786167591261

 

หนังสือ Norwegian Wood

ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย

แปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์

สำนักพิมพ์ กำมะหยี่

http://readery.co/9786167591285

 

หนังสือ The Wind-Up Bird Chronicle

บันทึกนกไขลาน

แปลโดย นพดล-จินตนา เวชสวัสดิ์

สำนักพิมพ์ กำมะหยี่

http://readery.co/publishers/gammemagie/9786167591551

 

เพลง Fragile โดย Sting คือแบบ โอ๊ย เพราะ

https://www.youtube.com/watch?v=lB6a-iD6ZOY

  • LOADING...

READ MORE

MOST POPULAR



Close Advertising