จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ซีอีโอบุญรอดฯ เผยธรรมนูญประจำตระกูล และวิถีสิงห์แห่งอนาคต

ถอดบทเรียนการทำธุรกิจของ จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี แม่ทัพใหญ่แห่งบุญรอดบริวเวอรี่ ในวันที่ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งซีอีโอช่วงเดียวกับวิกฤตโควิด-19 บทเรียนที่ได้จากการสืบทอดธุรกิจจาก สันติ ภิรมย์ภักดี คืออะไร Singha Way ยุคใหม่จะมีหน้าตาแบบไหน และทำไมมุมมองด้านตัวเลขกำไรจึงไม่ใช่ด้านเดียวที่บุญรอดฯ ใช้เพื่อวัดความสำเร็จ

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในฐานะซีอีโอใหม่ของบุญรอดฯ
ผมเข้ามาในจังหวะที่ความท้าทายเกิดขึ้นพอดี เพราะหลังจากรับมอบตำแหน่งไม่กี่วันก็มีโควิด-19 วอร์รูมเกิดขึ้น แม้ตัวผมจะเคยพูดถึงคำว่า New Normal หลายครั้ง ด้วยความที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลที่ไปเร็วมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นโควิด-19 ที่เข้ามาทำให้มันเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ที่ผมอยู่ในตำแหน่งซีเอฟโอ ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยและความรับผิดชอบมาตลอด เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอใหม่ก็อาศัยต้นแบบจากคุณสันติ ซีอีโอคนเก่าที่สามารถพลิกสถานการณ์ของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตฟองสบู่แตกในปี 2540 กลับมาได้ ในตอนนี้คุณสันติยังคงเป็นประธานกรรมการบริหารที่คอยช่วยวางแผนเรื่องนโยบายต่างๆ ผมในฐานะซีอีโอจึงมีหน้าที่ทำให้มันเกิดขึ้นตามแผน และเพิ่มโฟกัสให้มากขึ้นว่าโจทย์ของเราคืออะไร เราถนัดในเรื่องอะไร แม้สถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศจะมีความเสี่ยง แต่เราก็พยายามกระจายธุรกิจอยู่ตลอด แน่นอนว่าในหลายๆ ธุรกิจเราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างว่ามันทำไม่ได้ เพราะเราสามารถดึงทรัพยากรบุคคลที่เชี่ยวชาญและเหมาะสมในเรื่องนั้นๆ มาช่วยทำได้

ธุรกิจที่เข้มแข็งต้องไปพร้อมกับ ‘สังคมที่เข้มแข็ง
มันอยู่ที่วัฒนธรรมของเรามากกว่าว่าเราพร้อมที่จะทำธุรกิจอะไร และเราทำอะไรกับธุรกิจนั้น เราให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การที่บุญรอดฯ ดำเนินมาได้ถึง 87 ปี แน่นอนว่ามันเกิดจากความเข้มแข็งภายในตัวเราก่อน ผมไม่ได้มองว่าบริษัทที่เข้มแข็งคือบริษัทที่มีบริษัทลูกเป็นร้อยเป็นพันบริษัท หรือมียอดขายมหาศาล หรือมีพนักงานเป็นแสนคน แต่ผมมองว่าบริษัทที่เข้มแข็งคือบริษัทที่สามารถอยู่ได้ด้วยความมั่นคงของเขาเองอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสืบทอดเจตนารมณ์สู่รุ่นต่อไปได้ เพราะเจตนารมณ์เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า สิงห์ต้องการตอบแทนสังคม และเราตอบแทนสังคมมาเป็นเวลากว่า 80 ปีแล้ว ก่อนที่จะมีคำว่า CSR เข้ามาด้วยซ้ำ นี่คือวิสัยทัศน์ของพระยาภิรมย์ภักดีที่มองว่าตัวท่านเองได้รับโอกาสและความช่วยเหลือจากสังคมรอบข้างในการตั้งโรงเบียร์แห่งนี้ขึ้นมา ดังนั้นท่านจึงปลูกฝังเรื่องนี้มาตลอดจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน และได้กระจายไปถึงพนักงาน ผมมั่นใจว่า 90% ของพนักงานของผมมีจิตใจที่เป็นจิตอาสา ที่สำคัญการตอบแทนสังคมนั้นจำเป็นต้องดูด้วยว่าเราถนัดด้านไหน และสังคมต้องการอะไรจากเรา เหตุผลที่เราสนับสนุนด้านกีฬาเยอะเพราะมันเป็นการให้ความรู้ความสามารถกับเยาวชน นอกจากนี้เราก็มีการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติมาตลอด เพราะคำสำคัญสำหรับผมคือคำว่าต่อเนื่อง เราจึงโฟกัสที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนสังคมให้เติบโตและเข้มแข็งไปพร้อมๆ กันได้อย่างยาวนานและต่อเนื่อง

ก้าวต่อไปของสิงห์ ธุรกิจที่มีทั้งฟู้ด นอนฟู้ด และแอลกอฮอล์
ผมว่าปีนี้ทั้งปี ธุรกิจโรงแรมทั่วโลกเจ็บ พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลกระทบของโควิด-19 ก็คือ Social Distancing ที่เป็นไปได้สองทาง ทางแรก หากคนหันไปทำงานที่บ้านจริงๆ แล้วมันเวิร์ก แปลว่าบริษัทจะใช้พื้นที่น้อยลง แต่ในอีกทาง หากคนไม่อยากทำงานที่บ้านแล้วต้องกลับมาที่ออฟฟิศ ก็มีความจำเป็นที่ออฟฟิศจะต้องขยายพื้นที่ ส่วนธุรกิจรีเทล ร้านอาหารที่ต้องถูกคุมเข้มจริงๆ คนจะหายไปครึ่งหนึ่ง นั่นทำให้รายได้หายไปแล้ว 6 เดือน พอไปไม่ไหวก็ต้องปิด คนที่มาทำต่อก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน จนค่าเช่าต้องลด เพราะมันเป็น Fixed Cost ที่ใหญ่ที่สุด สำหรับบุญรอดฯ ผมโฟกัสที่การบาลานซ์ เพราะ ณ จุดนี้ธุรกิจหลักของเรายังเป็นตัวชูโรงและทำได้ดีอยู่ แต่เราควรเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงไว้ด้วย ผมมองว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจอาหารก็เป็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกัน

แผนปรับตัวของบุญรอดฯ กับสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น
สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นกระทบทุกคน ทั้งตัวบุคลากรและครอบครัวเขาด้วย กระทบสังคม ประเทศ และทั่วโลก เป็นอะไรที่ใหม่มาก และไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน มันต่างกับวิกฤตปี 2540 ที่ยังมีบางส่วนไม่ได้รับผลกระทบ แต่ครั้งนี้เป็นเหมือนการเซ็ตซีโร่และเกิดเป็น New Normal จริงๆ สิ่งที่เรามุ่งเน้นเป็นอย่างแรกตั้งแต่เริ่มตั้งวอร์รูมขึ้นมาก็คือความปลอดภัยของพนักงานและครอบครัวของเขา เราเตรียมเจลแอลกอฮอล์ มีการวัดอุณหภูมิ แจกหน้ากากอนามัย พร้อมทั้งให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพกับเขาด้วย ส่วนต่อมาคือการดูแลคู่ค้า เรามีเอเจนต์นอกประเทศกว่า 200 เจ้าที่เราดูแลในเรื่องของความปลอดภัย รวมถึงการดูแลซัพพลายเออร์ เราย้อนกลับไปดูว่าเขามีปัญหาอะไร เพราะถ้าเขาไปซื้อของมาแล้วแต่ยังส่งของมาให้ไม่ได้ก็กระทบเราอยู่ดี ต่อมาส่วนที่สามคือเราให้ความใส่ใจกับโรงพยาบาล เพราะมันคือด่านหน้าในการรับคนไข้ ผมได้รับอนุมัติงบจากบอร์ดบริหารมา 50 ล้านเพื่อนำไปจัดซื้อน้ำดื่ม อาหาร และอุปกรณ์ให้กับโรงพยาบาลตามภูมิภาค ซึ่งนอกเหนือจากโรงพยาบาลแนวหน้า 8 แห่ง อีกด้านหนึ่งที่เรามองเห็นว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือกลุ่มนักร้องและศิลปิน เนื่องจากเรามีค่ายของเราอยู่แล้ว เราจึงเปิดเวทีและให้มีการไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยที่เราให้สปอนเซอร์กับศิลปิน และเพื่อเป็นการดูแลจิตใจคนที่อยู่บ้าน เพราะเป็นช่วงที่คนจิตตกกันหมด ต่อมาคือเรื่องของการสร้างงาน เราก็นำงบสิงห์อาสาไปจ้างคน จ้างเป็นรายวันให้ไปดับไฟป่า ลอกคลอง หรืองานอะไรที่ต้องทำอยู่แล้ว ผมมองว่าสิ่งที่สำคัญกว่ารายได้คือการที่คนคิดถึงจุดมุ่งหมายในชีวิตของเขา อีกด้านหนึ่งเป็นไอเดียของคุณสันติและคณะ นั่นคือการให้การศึกษา การให้ความรู้ เราจ้างอาจารย์ที่เรามีพันธมิตรอยู่ให้ไปสอนคนในเรื่องงานช่างเพื่อให้เขามีหนทางในการทำอาชีพอื่นๆ ได้ เพราะสังคมที่เป็นบวกคือดัชนีชี้วัดความสำเร็จของบุญรอดฯ

ธรรมนูญประจำตระกูลภิรมย์ภักดี
ตระกูลภิรมย์ภักดีกับสิงห์เป็นอะไรที่แยกกันไม่ออก ‘Singha Way’ หรือวิถีของสิงห์ เป็นสิ่งที่เราได้รับการถ่ายทอดมาจากพระยาภิรมย์ภักดีจนถึงทุกวันนี้ โดยผมมีหน้าที่ถ่ายทอดลงไปให้ถึงลูกหลานและพนักงานทุกคน ซึ่งมี 4 ข้อหลักๆ ดังนี้

1. คุณภาพ คุณภาพทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน ผลิตภัณฑ์ หรือโครงการต่างๆ

2. ความกล้า กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและเปิดรับสิ่งใหม่ๆ รวมถึงกล้าที่จะบอกว่าเราแพ้

3. ความสุข ทั้งความสุขของเรา คู่ค้าของเรา และสังคม โฟกัสว่าเราจะทำอย่างไรให้สังคมมั่นคงและยั่งยืน

4. ความเชื่อต่อครอบครัว เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความไว้ใจจึงจะโตไปด้วยกันได้ ครอบครัวสิงห์ของเราหมายรวมถึงซัพพลายเออร์ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และลูกหลานของเขาด้วย เรามีหลักสูตร Young Singha และ Young Blood ไว้สำหรับรองรับคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะขึ้นมา

ถ้าผมมีโอกาสได้เจอพระยาภิรมย์ภักดี ผมอยากจะบอกว่าปรัชญาที่ท่านส่งต่อมายังลูกหลาน พวกเราได้ทำมันอย่างเต็มที่ ผมคิดว่าชื่อเสียงขององค์กรเราไม่เคยเสียหายในทุกมิติ และสิ่งที่นอกเหนือไปจากยอดขายหรือกำไรคือการที่เราได้ดูแลครอบครัวและสังคมที่ไกลตัวเราออกไป