ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันจากสังคมกลายเป็นโจทย์สำคัญของธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะการสร้างซัพพลายเชนที่ไม่อาจมองแค่ประสิทธิภาพหรือกำไรเท่านั้น แต่ต้องขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน สร้างความสมดุลระหว่างต้นทุนและความรับผิดชอบต่อสังคมไปพร้อมๆ กัน
ร่วมเรียนรู้แนวทางสู่การเป็น ‘ซัพพลายเชนสีเขียว’ ที่ทั้งแข่งขันได้และรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ THE SME HANDBOOK by UOB ซีซัน 9 เอพิโสดที่ 5 นี้ เฟิร์น-ศิรัถยา อิศรภักดี ชวน ปิยะชาติ อิศรภักดี Chair, BRANDi Institute of Systematic Transformation มาร่วมพูดคุยถึงแนวทางการสร้างซัพพลายเชนสีเขียวอย่างยั่งยืน เจาะลึกโอกาสทางธุรกิจและประโยชน์ที่องค์กรไม่ควรมองข้าม พร้อมถอดกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อสร้างแต้มต่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
Green Economy: เมื่อโอกาสทางธุรกิจมาพร้อมข้อกำหนดใหม่ของโลก
โลกธุรกิจในวันนี้ไม่สามารถมองข้ามเรื่องสิ่งแวดล้อมได้อีกต่อไป เพราะ Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียวไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์แต่กลายเป็นเงื่อนไขใหม่ของการทำธุรกิจ โดยเฉพาะในมิติของ Global Supply Chain ที่กำลังถูกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและลึกซึ้งจากปัจจัยรอบด้าน
การเติบโตทางเศรษฐกิจในแบบทุนนิยมที่ผ่านมา เชื่อมโยงโดยตรงกับการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติและการปล่อยคาร์บอน ยิ่งเศรษฐกิจโตมากเท่าไร ทรัพยากรก็ถูกใช้มากขึ้น และคาร์บอนก็ถูกปล่อยออกมามากขึ้นตามไปด้วย ปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงมิติของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่สะท้อนกลับมายังต้นทุนและความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยเช่นกัน
แม้แนวคิดเรื่องความยั่งยืนจะถูกพูดถึงมาหลายปี แต่ในปัจจุบันการไม่ปรับตัวด้าน Green Supply Chain อาจกลายเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกิจ เช่น กฎหมายหรือข้อกำหนด Non-Tariff ที่กำหนดให้บรรจุภัณฑ์ต้องลดพลาสติกลง หรือผลิตภัณฑ์ต้องมีร่องรอยการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้รับใบอนุญาตในการวางจำหน่ายในบางประเทศ
โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้โลกเห็นข้อจำกัดของ Global Supply Chain อย่างชัดเจน การค้าระหว่างประเทศชะงัก ความไม่แน่นอนของการขนส่งระหว่างประเทศกลายเป็นตัวเร่งให้หลายธุรกิจเริ่มหันกลับมาพึ่งพาแหล่งผลิตในประเทศหรือในภูมิภาคมากขึ้น และเมื่อมองระยะยาว แทนที่จะกลับไปสู่รูปแบบเดิม หลายธุรกิจจึงมองหาโอกาสในการเปลี่ยนระบบซัพพลายเชนให้เขียวตั้งแต่ต้นน้ำ
และอีกปัจจัยที่ทรงพลังไม่แพ้นโยบายรัฐคือผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่นอกจากบริโภคสินค้าและบริการแล้ว ยังบริโภคภาพลักษณ์ของแบรนด์ พวกเขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และเลือกสนับสนุนธุรกิจที่มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ แต่คือแรงซื้อที่กำลังเปลี่ยนสมการการแข่งขันของตลาด
ในอดีต Green Supply Chain อาจถูกมองว่าเป็นการเพิ่มมูลค่า (Value Added) แต่วันนี้มันคือเงื่อนไขของการได้รับความไว้วางใจและการยอมรับจากสังคม (License to Operate) เพราะถ้าธุรกิจไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางที่โลกกำลังเดินไป อาจไม่ได้สิทธิ์ในการแข่งขันทางการค้าในอนาคต และในทางกลับกัน หากทำได้จริง ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นจำนวนน้อยที่ผ่านเกณฑ์และได้เปรียบในสนามใหม่นี้
คำถามสำคัญในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงว่าองค์กรตั้งเป้า Net Zero หรือ ESG ไว้เท่าไร แต่องค์กรมีแผนดำเนินการที่จับต้องได้มากแค่ไหน โดยเฉพาะในเรื่องซัพพลายเชน ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตและการส่งมอบสินค้า Green Supply Chain จึงไม่ใช่เรื่องของอนาคตไกลตัว แต่เป็นเงื่อนไขของวันนี้ที่สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรจะเลือกวางตำแหน่งของตัวเองแบบไหนในเวทีการแข่งขันทั้งในประเทศและระดับโลก
โมเดลการขับเคลื่อน Green Supply Chain ในโลกธุรกิจปัจจุบัน
Green Economy ไม่ใช่แค่กระแสรักษ์โลก แต่คือกลไกใหม่ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของธุรกิจในยุคนี้ โดยเฉพาะเมื่อระบบเศรษฐกิจแบบเดิมโตมาพร้อมกับการใช้ทรัพยากรเกินพอดีและปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันวิกฤตโควิด-19 ก็ทำให้เห็นชัดว่า Global Supply Chain ขาดความยืดหยุ่น หลายประเทศเริ่มกลับมาพึ่งพาระบบภายใน และหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ระดับนโยบายโลกเริ่มจริงจังมากขึ้น โดยหันมาคุยเรื่องกลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงโอกาสที่ไทยจะเข้าถึงเงินกองกลางเหล่านี้เพื่อออกมาตรการสนับสนุนธุรกิจให้ปรับตัวสู่ Green Supply Chain
ภาคธุรกิจเอง โดยเฉพาะรายใหญ่ เริ่มเจอกับข้อกำหนดใหม่จากประเทศคู่ค้า ทั้งในเรื่องคาร์บอน แพคเกจจิ้ง หรือมาตรฐานสิ่งแวดล้อม หากไม่ปรับตัวก็อาจหมดสิทธิ์ในการเข้าตลาด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น การเริ่มวันนี้จึงเป็นการลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้ผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และคุณค่าทางจิตใจมากกว่าสินค้าเพียงอย่างเดียว เขาอยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ธุรกิจที่ไม่ตอบโจทย์นี้ก็เสี่ยงต่อการถูกมองข้าม โดยในมุมของ SME ขอเสนอแนวคิด 4L คือ Local, Lean, Large และ Leadership
- Local คือการเริ่มจากของใกล้ตัว เช่น จัดหาวัตถุดิบหรือแรงงานในท้องถิ่น ช่วยลดต้นทุน ลดคาร์บอน และเห็นคุณภาพได้ชัดเจน
- Lean คือการลด Waste และใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ซึ่ง Green กับ Lean คือเรื่องเดียวกัน หากจัดการดี ก็สร้างสตอรีให้สินค้าได้ และทำให้ต้นทุนต่ำลง
- Large คือการทำให้ธุรกิจเติบโต มีความกว้างใหญ่และครอบคลุมมากขึ้น
- Leadership คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องถามตัวเองว่าอยากทำเพราะอะไร ถ้าไม่มีแรงผลักจากภายใน การเปลี่ยนแปลงจะเป็นภาระ ไม่ใช่การลงทุน
วันนี้ตลาดดั้งเดิมมีการแข่งขันสูง ขณะที่จำนวนผู้บริโภคไม่ได้เพิ่มขึ้น การเชื่อมเรื่องความยั่งยืนเข้ากับความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจึงเป็นแต้มต่อสำคัญ และหากเราทำให้ Green Economy กลายเป็นตลาดจริง มีดีมานด์ มีซัพพลาย มีระบบสนับสนุนครบถ้วน ตลาดนี้จะกลายเป็นตลาดพรีเมียม และเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจไทย
นิยามของคำว่า Green Supply Chain
เวลาพูดถึง Green Supply Chain คนมักนึกถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่จริงๆ แล้วแนวคิดนี้ควรขยายออกไปสู่คำว่า Sustainable Supply Chain เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกมิติที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ‘คน’
ในมิติสิ่งแวดล้อม Green Supply Chain เริ่มต้นจากการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ขาดแคลน หรือเป็นทรัพยากรทางเลือกที่ธรรมชาติผลิตได้ต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการลดของเสียในกระบวนการผลิต ลดการปล่อยคาร์บอน และลดผลกระทบทางอ้อมที่กระทบต่อระบบนิเวศ ในระดับโลก ความกังวลเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) เริ่มกลายเป็นประเด็นสำคัญยิ่งกว่าคาร์บอน เพราะคนเริ่มเห็นผลกระทบที่ใกล้ตัวมากขึ้น
Green Supply Chain จึงไม่ใช่แค่เรื่องลดคาร์บอน แต่ต้องสร้างสมดุลให้ระบบธรรมชาติทั้งหมด และในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าซัพพลายเชนขับเคลื่อนได้เพราะคน หากคนในระบบไม่สามารถอยู่รอดได้ การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดขึ้นจริง
ตัวอย่างเช่น การพยายามให้เกษตรกรเปลี่ยนวิธีการปลูกที่ทำกันมาหลายสิบปี ทั้งที่ยังไม่เข้าใจชีวิต ความเคยชิน และข้อจำกัดของพวกเขา การเปลี่ยนแปลงที่ถูกยัดเยียดจากมุมมองระดับมหภาคจึงไม่สามารถขับเคลื่อนระดับจุลภาคได้ ต้องเริ่มจากการเข้าใจวิถีชีวิตของคนในห่วงโซ่ก่อน แล้วค่อยหาจุดเปลี่ยนที่เขาอยู่ได้จริง
ท้ายที่สุด หากเราต้องการให้ Green Supply Chain เกิดขึ้นจริง ต้องมองมันเป็นเรื่องของ ‘ความยั่งยืนของระบบมนุษย์และธรรมชาติ’ ไปพร้อมกัน เพราะสิ่งแวดล้อมที่ดีจะไม่มีความหมาย ถ้าคนในระบบไม่มีความหวังว่าจะอยู่รอดได้ภายใต้ระบบใหม่นั้น
Traceability: เงื่อนไขสำคัญของความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน
ประเด็นเรื่อง Traceability หรือการสืบย้อนกลับได้ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีหรือความโปร่งใสในกระบวนการผลิตเท่านั้น แต่มันสะท้อนถึงวิวัฒนาการของแนวคิดความยั่งยืนในระดับลึก จากเดิมที่การขับเคลื่อนเรื่อง SDG เริ่มต้นจากเจตนาดี อยากเห็นคนดี ธุรกิจดี สังคมดี รวมตัวกันทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น แต่เมื่อการตัดสินใจในระบบเศรษฐกิจเริ่มพัวพันกับเม็ดเงิน สนับสนุนจากภาครัฐ และพฤติกรรมผู้บริโภค คำว่า ‘ดี’ ก็ต้องมีมาตรฐานรองรับ
จากนั้นจึงเกิดแนวคิด Science-based Targets ที่พยายามแปลงแนวคิดความดีให้วัดผลได้ และนำไปสู่การจัดทำรายงานความยั่งยืนขององค์กร โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ซึ่งต้องแสดงให้เห็นว่าองค์กรของตนสร้างผลลัพธ์ทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมอย่างไร เช่น ตัวเลขที่บอกว่าทำให้ชีวิตคนดีขึ้น 50,000 คน
คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเลขเหล่านั้นจริง? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทไม่ได้แค่เขียนสวยๆ แล้วให้เราต้องเชื่ออย่างเดียว? ถ้าเราจะให้เงินสนับสนุนหรือใช้ข้อมูลนั้นในการตัดสินใจ เราต้องตรวจสอบได้ และนั่นคือเหตุผลที่ Traceability กลายเป็นแกนกลางของระบบนี้
ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเทคนิค แต่มันคือกลไกสร้างความน่าเชื่อถือที่สำคัญต่ออนาคตของ Sustainability Supply Chain และกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานสากล เช่นเดียวกับการพัฒนาระบบการเงินโลกที่ต้องใช้เวลากว่า 50 ปี จนได้ระบบบัญชีที่น่าเชื่อถือ พร้อมบริษัทตรวจสอบภายนอกที่ทำให้การเงินมีความโปร่งใส Traceability ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน
ก่อนจะมาถึง Green Supply Chain โลกเคยผ่านยุค Digital Transformation มาก่อน ธุรกิจขนาดใหญ่ digitise ซัพพลายเชนมาระดับหนึ่งแล้วเพื่อบริหารจัดการขนาดธุรกิจ แต่ข้อมูลที่ได้ส่วนใหญ่มักเป็นข้อมูลเชิงการค้า ไม่ได้สะท้อนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคม เช่น ปล่อยคาร์บอนเท่าไร ลดลงแค่ไหน กระจายรายได้อย่างไร
ถ้าเราสามารถพัฒนาให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บ ตรวจสอบ และย้อนกลับได้จริง เราจะสามารถตรวจเช็กได้ว่าเป้าหมายต่างๆ ที่องค์กรประกาศไว้เป็นเรื่องจริงหรือแค่คำโฆษณา และนี่คือก้าวสำคัญสู่การยกระดับ Global Standard ในการประเมินคุณค่าที่แท้จริงของธุรกิจ
ตัวอย่าง SME ไทยกับการสร้าง Sustainable Supply Chain
หนึ่งในกรณีศึกษาคือ Fishmonger แบรนด์ร้าน Fish & Chips ที่พัฒนามาจากธุรกิจอาหารแช่แข็งเดิม โดยเริ่มจากโจทย์ว่า “ทำอย่างไรให้ซัพพลายเชนของปลาในไทยเกิดมูลค่าอย่างยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ”
เขาเริ่มต้นจากการทำงานกับชาวประมงท้องถิ่น ซึ่งมักจะจับปลาได้หลากหลายชนิด แต่ผู้บริโภคกลับนิยมเพียงไม่กี่ชนิด ปลาอื่นๆ จึงถูกทิ้งอย่างสูญเปล่า Fishmonger เลือกนำปลาที่เหลือใช้มาแปรรูปเป็นอาหารแช่แข็ง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและร้านอาหาร ผ่านการสร้างแบรนด์ที่สามารถบอกได้ว่าปลานั้นมาจากแหล่งใด จับเมื่อไร หรือแม้กระทั่งเป็น ‘Catch of the day’ เพื่อสร้างคุณค่าทางใจ และเพิ่มมูลค่าทางการตลาด
อีกตัวอย่างคือ Lasunya แบรนด์ธุรกิจหนังและโซฟาที่ใช้ SDG เป็นโจทย์ในการพัฒนา ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน เช่น หนังสังเคราะห์ ไปจนถึงการนำเศษหนังที่เหลือจากกระบวนการผลิตมาแปรรูปเป็นกระเป๋าหรือของใช้อื่นๆ เพื่อลด Waste และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ การนำแนวคิด SDG ไปเล่าเรื่องกับต่างประเทศกลายเป็นจุดเปิดตลาดใหม่โดยไม่รู้ตัว
ทั้งสองแบรนด์ต่างแสดงให้เห็นว่าการทำ Sustainable Supply Chain ไม่จำเป็นต้องทำได้ใหญ่ในคราวเดียว แต่ต้องเริ่มจากแนวคิด การเข้าใจระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ผสานกับนวัตกรรมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงการขับเคลื่อนห่วงโซ่ยั่งยืนจึงต้องอาศัยความร่วมมือแบบ 4P (Public, Private, People, Partnership) เพราะในความเป็นจริงประเทศไทยยังไม่ถนัดเรื่องการทำงานร่วมกันเท่าที่ควร เราอาจเก่งในแบบต่างคนต่างทำ แต่หากไม่มีความสามารถในการร่วมมือ ก็จะไม่สามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง
สุดท้าย เราทุกคนในฐานะผู้บริโภคก็มีบทบาท ถ้าเราหยิบสินค้าราคาเท่ากันจากเชลฟ์ในซูเปอร์มาร์เก็ต เราควรถามว่า “อันไหนสนับสนุนเกษตรกรไทย?” เพราะการซื้อในวันนี้คือการลงทุนให้กับอนาคตของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น Sustainable Supply Chain จึงไม่ใช่เป้าหมายของบางธุรกิจ แต่คือแนวทางที่ทั้งประเทศต้องเดินไปด้วยกัน
Credits
The Host ศิรัถยา อิศรภักดี
Show Producer พิชญ์สินี ยงประพัฒน์
Co-Producer กรรญารัตน์ สุทธิสน
Creative ปวริศา ตั้งตุลานนท์
Sound Editor มุกริน ลิ่มประธานกุล
Sound Editor เอกธันวา สารศรี
Sound Designer & Engineer กฤตพล จียะเกียรติ
Sound Recording Engineer ขจีพรรณ วิจิตรรัตน์
Graphic Designer ธิดามาศ เขียวเหลือ
Channel Manager เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Channel Admin นิพพิชฌน์ ชุลีนวน
Proofreader Team
THE STANDARD Webmaster Team
THE STANDARD Archive Team