วานนี้ (22 เมษายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เชิญปลัดกระทรวงพาณิชย์และผู้เกี่ยวข้องประชุมด่วนเรื่องการป้องกันการสวมสิทธิสินค้าเฝ้าระวังไปสหรัฐอเมริกา โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกัน ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
แพทองธาร ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook และ X ระบุว่า วันนี้ได้เชิญทางกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย เพื่อมาพูดคุยและเน้นย้ำถึงมาตรการสวมสิทธิของสินค้าในไทย และกระบวนการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยและการส่งออกของผู้ประกอบการไทย
นายกฯ ระบุต่อว่า โดยในระยะสั้น ทางกรมการค้าต่างประเทศ จะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐ หรือ US Custom and Border Protection (CBP) เพื่อวางหลักเกณฑ์ใหม่ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า พร้อมทั้งเฝ้าระวังการสวมสิทธิเป็นสินค้าไทย จำนวน 65 รายการ 224 พิกัด ซึ่งส่วนมากเป็นสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อให้การตรวจสอบเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ส่วนในระยะยาว ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นกับบริษัทที่มีการสวมสิทธิสินค้าไทยอย่างเด็ดขาด
“ดิฉันเชื่อมั่นว่า หากเกิดความเข้มงวดในการตรวจสอบถิ่นกำเนิดของสินค้า จะทำให้ปริมาณการสวมสิทธิสินค้าลดลงเป็นอย่างมากภายในระยะเวลา 90 วัน และนี่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการในไทย รวมถึง SMEs ไทย ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สินค้าไทยและวัตถุดิบไทย ส่งออกไปยังต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าของไทยอย่างแท้จริง” นายกฯ ระบุ
อ้างอิง: