ความเคลื่อนไหวในโลกฟุตบอลที่น่าจับตามองมากที่สุดเวลานี้ ย่อมหนีไม่พ้นการเดินหน้ารุกตลาดนักเตะอย่างรุนแรงของซาอุดีอาระเบีย ที่กวาดต้อนนักฟุตบอลในระดับซูเปอร์สตาร์ไปร่วมโชว์เพลงแข้งระดับโลกบนแผ่นดินทะเลทราย
จาก คริสเตียโน โรนัลโด ผู้เปิดประตูคนแรก สู่ คาริม เบนเซมา และตอนนี้มีชื่อนักฟุตบอลอีกมากมายทั้งที่อยู่ในช่วงวัยที่อาจจะเรียกได้ว่าไม้ใกล้ฝั่ง และคนที่กำลังจะไต่ระดับไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพการเป็นนักฟุตบอลอย่าง รูเบน เนเวส ซึ่งเป็นกรณีที่สร้างความสั่นสะเทือนมากพอสมควร
แต่ในบรรดากลุ่มนักเตะที่มีข่าวเชื่อมโยงกับลีกซาอุดีอาระเบียนั้น มีกรณีที่น่าจับตามองมากเป็นพิเศษคือกลุ่มนักเตะจากทีมเชลซีที่มีความเชื่อมโยงหลายราย
นอกเหนือจาก เอ็นโกโล กองกลางฮาร์ดแมนระดับตำนาน ที่กระแสข่าวไปในทิศทางที่ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าจะย้ายไปปิดฉากชีวิตการเล่นของตัวเองที่ซาอุดีอาระเบีย ยังมีชื่อของ คาลิดู คูลิบาลี, ฮาคิม ซิเยค และ เอดูอาร์ เมนดี้
การขายเหมาแบบมัดรวมนี้มีอะไรซ่อนอยู่ข้างหลังที่เราควรต้องจับตาหรือไม่?
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว เชลซีมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรเดิมชาวรัสเซีย ผู้สร้างอาณาจักร ‘Roman Empire’ อันยิ่งใหญ่ นำทีมเก่าแก่ของลอนดอนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษและวงการฟุตบอลระดับยุโรป ถูกรัฐบาลอังกฤษบีบบังคับให้ขายสโมสรออกไปด้วยข้อกล่าวหามีส่วนในการสนับสนุนรัฐบาลเครมลินในการก่อสงครามกับยูเครน
ทอดด์ โบห์ลี นักธุรกิจกีฬาชาวอเมริกัน เจ้าของทีมเบสบอลแอลเอ ดอดเจอร์ส เป็นผู้ที่ชนะการประมูลคว้าสิทธิ์ในการซื้อสโมสรมาครองได้สำเร็จ ในมูลค่า 4.25 พันล้านปอนด์
อย่างไรก็ดี โบห์ลีไม่ได้เป็นผู้ที่ออกเงินเพียงคนเดียว โดยพาร์ตเนอร์ที่ร่วมลงทุนด้วยกันคือกองทุน Clearlake Capital ที่นำโดย เบห์ดัด เอ็กห์บาลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมที่เข้ามามีบทบาทบริหารสโมสรเชลซีร่วมกับโบห์ลี
นับจากที่เข้ามาซื้อกิจการ โบห์ลี และ Clearlake Capital ได้ลงทุนมหาศาลในการซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทีมเชลซีใน 2 รอบตลาดการซื้อขาย ทั้งช่วงฤดูร้อนและช่วงฤดูหนาว โดยใช้เงินลงทุนไปมากมายมหาศาลถึงกว่า 600 ล้านปอนด์
แต่ผลตอบรับที่ได้กลับเข้าขั้นเลวร้าย เมื่อเชลซีประสบปัญหาอย่างสาหัสภายในทีม จบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 12 และตกรอบฟุตบอลทุกรายการ
อย่างไรก็ดี ปัญหาใหญ่ของเชลซีที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือการที่ทีมมีผู้เล่นมากเกินไป มากจนถึงขั้นมีช่วงที่ประสบปัญหาห้องแต่งตัวไม่เพียงพอสำหรับนักเตะภายในทีม ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่สโมสรต้องจัดการเป็นการเร่งด่วน ก่อนที่จะดำเนินการปรับทัพเสริมทีมตามความต้องการของ เมาริซิโอ โปเชตติโน ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
โดยที่ยังมีความกังวลว่าการทุ่มเงินถึง 600 ล้านปอนด์ในฤดูกาลที่แล้วจะส่งผลต่อเรื่องสถานภาพทางบัญชีของเชลซีว่าจะเกินลิมิตในกฎการเงิน Financial Fair Play ด้วยหรือไม่
เรื่องนี้นำไปสู่การเตรียมโละนักเตะออกจากทีม ซึ่งมีกลุ่มนักเตะหลายราย (ไม่นับรายที่ขายออกได้ราคาอยู่แล้วอย่าง มาเตโอ โควาซิช, เมสัน เมาท์ และ ไค ฮาเวิร์ตซ์) ที่อยู่ในข่ายที่คาดว่าจะโดนปล่อยตัวออกไปเนื่องจากทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ หรือไม่ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของโปเชตติโนในฤดูกาลหน้า เพียงแต่คำถามคือเชลซีจะโละนักเตะออกไปอย่างไรให้รวดเร็วที่สุด?
เพราะหากจะมัวรอเจรจาว่าความกันทีละคนสองคน บางทีตลาดนักเตะปิดแล้วก็อาจจะยังโละไม่เสร็จด้วยซ้ำไป
คำตอบสำหรับเชลซีในเรื่องนี้คือการหา ‘ผู้รับเหมา’ (หรือรับเซ้ง) เอานักเตะไปยกแพ!
โดยผู้รับเหมาดังกล่าวคือลีกซาอุดีอาระเบียที่กำลังมีข่าวขอรับเซ้งนักเตะหลายรายของเชลซี ซึ่งสัญญาณนั้นถูกส่งมาจากการเจรจาเพื่อขอซื้อ เอ็นโกโล ก็องเต กองกลางระดับตำนานของสโมสรที่กำลังเข้าสู่วัยโรยรา เริ่มประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเรื้อรังก่อน
แต่การเจรจาไม่ได้จบที่ก็องเต เพราะปรากฏชื่อของ ฮาคิม ซิเยค, คาลิดู คูลิบาลี และ เอดูอาร์ เมนดี้ รวมถึง ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง และ โรเมลู ลูกากู ด้วย เพียงแต่ 2 รายหลังดูเหมือนจะไม่สนใจข้อเสนอที่จะย้ายไปเล่นในซาอุดีอาระเบียเวลานี้แต่อย่างใด
นั่นเท่ากับว่านอกจากก็องเตที่เตรียมจะไปรับทรัพย์ปีละ 86 ล้านปอนด์ที่ซาอุดีอาระเบีย ยังจะมีเพื่อนอย่างซิเยค, คูลิบาลี และเมนดี้ ย้ายตามไปเล่นในลีกเดียวกันด้วย แม้ว่าจะยังไม่แน่ชัดว่าอยู่กับสโมสรใดก็ตาม
มีการประเมินกันคร่าวๆ ว่าเชลซีน่าจะได้เงินกลับมาจากการขายนักเตะกลุ่มเหล่านี้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งสำหรับทีมที่หน้ามืดจ่ายไปเยอะแบบพวกเขา เงินก้อนนี้เปรียบเหมือนยาหอมช่วยให้หายใจได้คล่องขึ้น และจะเป็นต้นทุนสำหรับการซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทีม โดยมีเป้าหมายที่ นิโกลัส แจ็คสัน กองหน้าจากบียาร์เรอัล ที่มีค่าปลดสัญญา 30 ล้านปอนด์ และ มอยเซส ไกเซโด กองกลางตัวแกร่งที่อยากได้มาแทนก็องเต โดยไบรท์ตันก็ตั้งค่าตัวไว้ที่ 100 ล้านปอนด์
กระนั้นความเคลื่อนไหวของเชลซีและซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ก็นำไปสู่เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่เช่นกัน
เพราะมันมีกลิ่นทะแม่งๆ จากการที่ลีกซาอุดีอาระเบียนั้นได้รับการสนับสนุนครั้งใหญ่จากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ‘PIF’ ซึ่งเพิ่งประกาศสนับสนุน 4 สโมสรใหญ่ของประเทศ อันได้แก่ อัล ฮิลาล, อัล อิติฮัด, อัล นาสเซอร์ และ อัล อาห์ลี ตามยุทธศาสตร์ในการสร้างซาอุดี โปรลีก ให้เป็นที่ระบือนามไปทั่วโลก ใช้กีฬานำภาพลักษณ์ที่ดีสู่ประเทศ
จุดนี้คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การกวาดต้อนนักเตะระดับท็อปของโลกมาไว้ในลีกซาอุดีอาระเบียให้มากที่สุด คล้ายๆ กับปรากฏการณ์ลีกฟุตบอลจีนเมื่อหลายปีก่อน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ PIF นั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการฟุตบอลอังกฤษด้วย โดยนอกจากจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วถึงขั้นจากทีมตกชั้นกลายเป็นได้ไปแชมเปียนส์ลีกในระยะเวลาไม่ถึง 2 ฤดูกาล
PIF ยังเป็นผู้ร่วมลงทุนกับ Clearlake Capital ซึ่งเป็นผู้ลงทุนหลักของเชลซีด้วย
และตัวของโบห์ลีเองก็มีประวัติในการทำธุรกิจร่วมกับทางซาอุดีอาระเบียมายาวนาน
เพราะเหตุนี้หรือเปล่าซาอุดีอาระเบียจึงเข้ามาช่วยช้อนนักเตะเหลือใช้ของเชลซีไป? โดยที่นักเตะเองก็แฮปปี้เพราะจะได้รับเงินก้อนใหญ่ยิ่งกว่าที่ได้รับจากการเล่นในพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำไป แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นการย้ายทีมด้วยเหตุผลทางการเงินมากกว่าการตามหาเกียรติยศและชื่อเสียงก็ตาม
เรื่องความเชื่อมโยงกับ PIF นั้นเชลซีปฏิเสธที่จะให้ความเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่การที่ PIF เชื่อมโยงกับทั้ง 2 สโมสรในพรีเมียร์ลีก (เหมือนมีเจ้าของเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น) และยังเป็นแบ็กอัพของลีกซาอุดีอาระเบีย ย่อมหลีกหนีคำถามไม่พ้น
เพียงแต่นั่นอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา
ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครใคร่ขายก็ขาย ใครใคร่ย้ายก็ย้าย ขีดเส้นใต้ไว้จบแค่ตรงนี้
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/saudi-arabias-pursuit-of-chelsea-outcasts-can-ease-clubs-financial-worries-h36qwb5gl
- https://www.sportingnews.com/us/soccer/news/are-chelsea-owned-saudi-arabia-pif-clearlake-capital-boehly/npbfqj9f4kuw1gskjr6gutgl
- https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12161201/Saudi-Arabias-PIF-takes-control-four-clubs-including-Cristiano-Ronaldos-Al-Nassr.html