คุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึกหมดหวัง เหนื่อยล้า สู้ชีวิตแล้วแต่ชีวิตก็สู้กลับ จนบ่อยครั้งก็อยากศิโรราบ ประกาศกร้าวต่อโลกว่า พอแล้ว! ต่อจากนี้ฉันจะขอลองใช้ชีวิตแบบไม่สู้บ้างแล้วกัน อยู่หรือเปล่า
ถ้ากำลังรู้สึกแบบนั้น เราว่านี่เป็นเหตุผลที่ดีมากพอให้คุณพาตัวเองมาที่ PLACEBo CLUB, weird stuff that helps คลับของกลุ่มเพื่อน 4 คน วริศ ลิขิตอนุสรณ์, เผ่า-เผ่าภูมิ ชิวารักษ์, ตั๋ม-ธนพล วิรุฬหกุล และโกโก้-พิชญะ เภตราไชยอนันต์ ที่พร้อมจะเป็นโฮสต์นำทำกิจกรรมฮีลลิ่งประหลาดๆ ที่คนในสังคมไม่คุ้นชิน ไม่ว่าจะนวดกดจุด ประคบน้ำมัน ตีขันระฆังหิมาลัย ทำ Sound Healing ปรับเอเนอร์จี้ในร่างกาย ดูดวงปาจื้อ หรือกระทั่งใช้กระจกส่องวิญญาณ
แม้กิจกรรมภายในจะชวนพิศวง ท้าทายความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยได้จริงๆ หรือทั้งหมดก็แค่ความคิดที่งมงายไปเอง แต่เราในฐานะผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อนหน้านี้สารภาพเลยว่าก็กังวลไม่แพ้กัน ขอยืมคำที่วริศบอกไว้ในวันที่เราตกลงปลงใจมาลองฮีลลิ่งที่นี่ดู
“ปล่อยตัว ปล่อยใจมาเลยครับ” เขาว่าไว้แบบนั้น
ถ้าทำได้ คุณก็พร้อมแล้วสำหรับการฮีลลิ่งวันนี้
PLACEBo CLUB ซ่อนตัวอย่างมิดชิดชั้นบนของอาคารในย่านเจริญกรุง ภายในแบ่งเป็นห้องทำงานและลานโล่งสำหรับทำกิจกรรม เบาะนั่งกระจายตามพื้นที่ เช่นเดียวกันกับขันระฆังหิมาลัยที่วางอยู่ตามจุดต่างๆ รอบห้อง บอกให้รู้ว่าคืนก่อนหน้าที่แห่งนี้เพิ่งมีการทำกิจกรรมไป
วริศและเผ่าจัดแจงสถานที่ให้กลับมาพร้อมรับแขกอีกครั้ง พลางชวนคุยถึงความงมงายที่เรามี รายละเอียดของศาสตร์ที่แต่ละคนสนใจ เนิ่นนานก่อนจะวกมาถึงที่มาที่ไปของคลับแห่งนี้
เผ่าบอกว่าคลับนี้เกิดขึ้นมาในตอนที่ชีวิตเขาและคนในประเทศนี้ย่ำแย่ขั้นสุด “ช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อนเราหลายคนโดน 112 ปรากฏการณ์ทางการเมืองมีผลกับพวกเรามาก เราผิดหวังกับหลายๆ อย่างที่นี่ที่มันพึ่งพาไม่ได้ ประชาชนอย่างเราทำได้แค่ด่าและพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จนไม่เหลืออะไรแล้ว”
ความโหดร้ายในชีวิตทำให้ทั้ง 4 คนพบปะกันบ่อยขึ้น ขยับขยายประเด็นในการพูดคุย สุขภาพจิต สุขภาพกาย ลามไปถึงเรื่องความเชื่อและความงมงาย
“บทสนทนามันรันจากตรงนั้นแล้วก็ค่อยๆ เกาะพวกเราเข้าด้วยกัน เริ่มจากการเป็นวงสนทนาเฉพาะกิจเรื่อยๆ แชร์ความเจ็บปวดของกันและกันจนเราพบว่า อ้าว มึงก็ป่วย ทุกคนก็พัง เราจินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าการเมืองไม่เป็นแบบนี้ พวกเราจะพังได้เท่านี้ไหม มันเลยคำว่า Lost ไปมากแล้ว
“ไม่ใช่ Lost ที่แปลว่าหลงทาง แต่มันคือเราไม่เหลืออะไรแล้ว” เผ่าเล่าพลางกลืนก้อนสะอื้น
นอกจากปัญหาการเมืองที่กัดกร่อนพลังชีวิต วริศเสริมว่าตอนนั้นเขา โก้ และตั๋ม ยังเจอปัญหาจากการงานที่กัดกินหัวใจ รู้สึกหนัก เหนื่อย เบิร์นเอาต์ จนต้องลาออกจากงานมาพักรักษากายใจ
“ความเศร้าทำให้เราคอนเน็กต์กัน” เขาบอกแบบนั้น
“มันไม่มีคอนดิชันไหนอีกแล้วที่จะทำให้คนเปิดใจ ร้องห่มร้องไห้ว่าตัวเองไปเจออะไรมา คนแฮปปี้เขาไม่ทำกันอย่างนั้น ความไม่ไหวแล้วกับหลายๆ อย่าง ทำให้เกิดเป็น PLACEBo CLUB ขึ้นมา”
เกิดพร้อมกับคำถามที่ว่าหากคนรุ่นใหม่ต้องทนทุกข์กับสภาวะหดหู่ หมดหวังอย่างนี้ต่อไป แล้วเราในฐานะประชาชนจะดูแลกันอย่างไรนับจากนี้
พวกเขาตัดสินใจนำความรู้และความสนใจด้านฮีลลิ่งของตัวเองมาใช้ รวมตัวกันเป็น PLACEBo CLUB, weird stuff that helps คลับที่ดำเนินการไปแบบไม่มี Business Model ไม่นิยามตัวเองว่าเป็นธุรกิจ เป็นแค่พื้นที่ที่มีจุดเชื่อมโยงเดียวกันคือการฮีลลิ่งในรูปแบบต่างๆ
คล้ายกับวงดนตรีที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย แค่มารวมตัวโดยใช้ชื่อและสถานที่เดียวกัน ตัดปัญหาเรื่องเงินเพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างมีลูกค้าของตัวเอง
บางกิจกรรมมีค่าบริการกำหนดไว้แล้ว บางบริการแล้วแต่ผู้เข้าร่วมจะโดเนตให้ และบางบริการเขาก็จัดเซสชันขึ้นมาฟรีๆ ไม่คิดค่าใช้จ่าย
เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงเซ็ตกิจกรรมแบบนี้ได้ตามความตั้งใจและตรงตามชื่อ แม้สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าฮีลลิ่ง บางอย่างอาจดูนอกรีต แต่เขาก็หวังว่ามันจะช่วยเยียวยาใครสักคนได้
กิจกรรมของ PLACEBo CLUB จึงจัดสรรขึ้นตามความถนัดของแต่ละคน ‘ตั๋ม’ มีความรู้ด้านแพทย์แผนทิเบต เป็นโฮสต์ของกิจกรรม Tibetan Medicine Consultant หรือการพูดคุยกันในกรอบของแพทย์แผนทิเบตว่าร่างกายของคนคนนั้นมีลักษณะอย่างไร และอะไรจะทำให้เขาสมดุล อาหารแบบไหนที่ควรจะกิน อาหารแบบไหนที่ควรจะเลี่ยง เป็นหนึ่งทางแนะนำให้เขาเลือกปรับใช้กับร่างกายของตัวเอง และกิจกรรม Soul Diagnosis and Therapy วินิจฉัยและบำบัดรักษาวิญญาณ ส่องเข้าไปดูว่ามีอะไรที่ทำแล้วชีวิตจะโอเคขึ้นบ้าง
‘เผ่า’ เก่งเรื่องกดจุด นวดเส้น เป็นโฮสต์ของกิจกรรม Shadow Work Massage นวดดูดพลังงานดำมืดออกจากร่างกาย และ Hormé Tibetan Oil Compress ประคบน้ำมันสมุนไพรแบบทิเบต กดจุดสำคัญ คืนสมดุลให้พลังงานในร่างกายไหลเวียนดี
‘วริศ’ สนใจศึกษาขันระฆังหิมาลัย เป็นโฮสต์ประจำกิจกรรม Himalayan Singing Bowl Sound and Vibration Healing ใช้เสียงและแรงสั่นสะเทือนเพื่อการบำบัดด้วยขันระฆังหิมาลัย
และ ‘โกโก้’ ที่นอกจากจะรู้ศาสตร์ด้านดูดวง เขายังสามารถ Integrated Energy Healing สื่อสารกับพลังงานในร่างกาย
“การฮีลลิ่งที่เราทำมันอาจเหมือนเป็นการเดินที่พาไปหลง แต่ไม่ได้มีอันตราย” โกโก้อธิบายว่ากระบวนการฮีลลิ่งที่พวกเขาทำจะไปกระตุ้นสิ่งที่อยู่ข้างในใจแต่ละคน อาจเป็นประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึก ซึ่งคนเรามีไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่แต่ละคนได้จึงหลากหลาย แตกต่างกันไป
เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพมากขึ้นว่ากิจกรรมของที่นี่เป็นไปในรูปแบบไหน การพูดคุยจึงหยุดไว้แค่นั้น และเริ่มต้นสู่กระบวนการฮีลลิ่ง (แบบชุดสาธิต)
Integrated Energy Healing คือสิ่งแรกที่เราเข้าร่วม
โกโก้ให้เรานอนลงแล้วเริ่มเอาหินทาบตามจุดต่างๆ ในร่างกาย ก่อนจะเริ่มทำตามศาสตร์ที่เขาร่ำเรียน ดูว่าเลือดลมและพลังในร่างกายของเรามีจุดไหนที่มีปัญหา ก่อนจะถ่ายทอดพลังเหมือนในหนังจีนกำลังภายใน แปะมือตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย ส่งความร้อน ค่อยๆ ปรับเลือดลมในร่างกายเราให้ปกติขึ้น
นอกจากการฮีลลิ่งที่ดูมีพิธีกรรม สิ่งหนึ่งที่โกโก้ทำคือการพูดคุย ค่อยๆ ไล่เรียงหาปมปัญหาในใจ ให้เราได้ค้นและสำรวจใจตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เรากังวล
บางคำถามที่เขาส่งให้ อาจเป็นสิ่งที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อน แล้วเพิ่งมารับรู้และสังเกตสภาพร่างกายตัวเองเอาตอนนั้น
บางคำถามก็เป็นสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าคำตอบคืออะไร แค่เขาเริ่มพูดประโยคใดประโยคหนึ่งมาก็ชวนให้น้ำตารื้น เหมือนถูกสะกิดเอาความกังวลที่พยายามกักเก็บเอาไว้มาโชว์ให้เห็นกันโต้งๆ
กิจกรรมต่อไปคือ Soul Diagnosis จากตั๋ม
เซสชันที่เขย่าขวัญเราที่สุดเพราะชื่อเล่นๆ ของมันคือการส่องวิญญาณ ดูว่าชีวิตเรามีเรื่องอะไรหรือมีใครซ่อนอยู่บ้าง เขามาพร้อมกับอุปกรณ์ประจำตัวอย่างกระจก ก่อนจะมองหน้าแล้วเข้าสู่กระบวนการของตัวเอง
ตั๋มบอกว่าหากเป็นปกติ เขาจะให้คนที่ฮีลลิ่งเขียนคำลงกระดาษก่อน แล้วค่อยๆ จับจุด ส่องวิญญาณไปด้วยกัน แต่สำหรับการสาธิตวันนี้ เราไม่ได้มีเวลามากพอให้ทำอย่างนั้น
หลังพิจารณาภาพที่เห็น ตั๋มจะคอยถามว่าสิ่งที่เขาเห็นเกี่ยวข้องกับเราอย่างไรบ้าง คนคนนี้มีผลอย่างไรกับเรา ของสิ่งนั้นสำคัญกับเราแค่ไหน แล้วแนะนำวิธีการว่าเราควรจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อนึกถึงสิ่งสิ่งนั้นอย่างไร
แน่นอนว่ากระบวนการไม่ได้เขย่าขวัญอย่างที่คิด วิธีการที่ตั๋มแนะนำเป็นเหมือนการพยายามให้เราอนุญาตที่จะสื่อสารกับความคิด กับตัวเองเยอะขึ้น
“ปกติคนเรามักมีหลายบุคลิก ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นๆ เราอยู่กับใคร มันคือ Soul ของเราที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อยู่ตลอด บ่อยครั้งมันจึงเกิดปัญหา เพราะสังคมบีบเราให้ตัดสินใจเลือกว่าเราจะเป็นใคร เป็นคนแบบไหนแค่แบบเดียว ทั้งๆ ที่เรามีตัวตนหลายแบบ และตัวตนนั้นอาจไม่เหมือนกันเลยก็ได้”
คำแนะนำจากตั๋มคือให้ลองกลับไปคอมพลีตความต้องการของ Soul ดู แม้ผ่านจินตนาการก็ช่วยได้มากแล้ว “ลองอนุญาตให้คิดถึงคนที่อยากคิดถึง อนุญาตให้ตัวเองได้ทำตามความต้องการของตัวเอง”
Himalayan Singing Bowl Sound and Vibration Healing ของวริศ คือกิจกรรมถัดมา
เขาเริ่มจากการให้เราเลือกหมอนใบที่สบายที่สุดแล้วนอนหลับตา ปล่อยกาย ปล่อยใจให้สงบ กระบวนการฮีลลิ่งของเขาเริ่มขึ้นหลังเสียงตีขันระฆังหิมาลัย
ขณะอยู่ในกระบวนการ เราได้ยินเสียงระฆังหลายจังหวะ หลายโทนเสียง ต่างกันไปตามขนาด และที่ตั้งที่ขันเหล่านั้นอยู่ บ้างเป็นเสียงไกล บ้างเป็นเสียงใกล้หู แม้เสียงฟังดูสงบ ไพเราะ คล้ายเวลาเดินฟังเสียงกระดิ่งในวัด แต่ความรู้สึกของเราผสมปนเป
ความรู้สึกว่างเปล่าคือสิ่งที่แล่นเข้ามาชัดเจนที่สุด มันเป็นความรู้สึกคล้ายตัวละครที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย กำลังหาทางกลับสู่ปัจจุบัน เป็นความว่างเปล่าที่ใจเราไม่ได้สงบ รู้สึกว่าการตายก็ง่ายอย่างนี้ แม้จะมีสิ่งที่เราอยากทำ แต่หากวันนั้นมาถึงก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยง
หลังเสียงตีขันระฆังหิมาลัยครั้งสุดท้าย วริศให้เราเข้าไปยืนในขันระฆังหิมาลัยใบใหญ่และหลับตาลง เมื่อส่งสัญญาณให้ว่าพร้อม เขาจะตีขันใบนั้น
ร่างทั้งร่างของเราสั่นสะเทือน น้ำตาที่แอบหยดมาตั้งแต่กระบวนการก่อนหน้ากลับมาไหลอีกครั้ง
หากการนอนฟังเสียงระฆังทำให้รู้สึกเหมือนตาย การยืนบนระฆัง รับแรงสั่นสะเทือนนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนเกิดใหม่
หลังจบกิจกรรม วริศไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก และเราเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เรารู้สึกเป็นเรื่องดีหรือแย่ เขาบอกเพียงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องปัจเจก เกิดผลกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน
นอกเหนือไปจากนั้นคือเขาไม่อยากให้นิยามสิ่งนี้ว่าคือ Sound Healing เท่าไรนัก เขามองว่าทุกเสียงมีเอฟเฟ็กต์ของมัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับขันระฆังหิมาลัย เพียงแต่ในเวลาปกติคนเราไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะมาสังเกตร่างกายของตัวเองว่ามีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ อย่างไร
“ถ้าฟัง EDM แล้วรู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ทำไป ซาวด์ที่ดีมันฮีลลิ่งอยู่แล้ว เพลงที่ดีมันทำให้คนรู้สึกอะไรบางอย่าง หากฟังแล้วกลับไปถามว่าเวลาได้ยินเสียงนี้เรารู้สึกแบบไหนเป็นพิเศษ แค่นี้มันก็ทำให้ทุกอย่างเป็น Sound Healing ได้แล้ว” เขาว่า
Hormé Tibetan Oil Compress ของเผ่า เป็นกิจกรรมที่สาแก่ใจที่สุด เพราะมันคือการนำประคบน้ำมันจี้ไปตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
เราต้องคอยสังเกตร่างกายของตัวเองแล้วสื่อสารให้เผ่ารับรู้ว่าจุดไหนที่จี้โดนแล้วแค่ร้อนผ่าว จุดไหนจี้โดนแล้วแปลบลึกเหมือนถูกเข็มจิ้ม
เขาอธิบายว่า ปกติแล้วคนเราจะมีธรรมนูญของร่างกาย ความปวดเมื่อยอาจเกิดจากการที่ลมในร่างกายไหลเวียนไม่ปกติ เป็นผลมาจากการเก็บกดอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ เมื่อเรากักเก็บไว้มากเข้า ความเครียดนั้นก็อาจแสดงผลออกมาทางกายภาพเป็นอาการปวดล้าเนื้อตัว หรือกระทั่งอาการออฟฟิศซินโดรม การเอาความร้อนจากสมุนไพรมาชุบน้ำมันร้อนแล้วประคบตามจุดต่างๆ ก็เพื่อช่วยระบายให้เลือดลมเดินทางได้ดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
หลังจบกิจกรรม แม้จะไม่ได้รู้สึกหายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะปกติร่างกายของเราไม่ได้แสดงอาการพวกนั้นอยู่แล้ว แม้ไหล่จะแข็งจนโฮสต์อย่างเผ่าตกใจ แต่ก็ถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายและสัมผัสกับคำว่าฮีลลิ่งอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
หลายกิจกรรมของ PLACEBo แม้อาจดูงมงาย ไร้การพิสูจน์ และไม่ได้รับการยอมรับในโลกสมัยใหม่ แต่เขามองว่าเป็นเรื่องดีที่ได้ส่งต่อประสบการณ์แบบนี้ให้คนที่มาเยือน
อย่างน้อยมันคือการพยายามทลายกรอบของสังคมที่บอกว่าความงมงายดูเป็นเรื่องน่าอาย ต้องเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ว่าเราเชื่อสิ่งนี้ เรา Spiritual
“ความเชื่อมันน่ากลัวภายใต้เงื่อนไขเดียวเท่านั้น ก็ต่อเมื่อมันมีอำนาจมากเกินไป แต่ถ้าตราบใดที่มันมีหลากหลายและแต่ละคนเชื่ออะไรก็ไม่รู้ มันก็ไม่น่ากลัว” วริศให้ความเห็น
“ถ้าหลายๆ อย่างมันมีเมจิกและจริงมากพอ เราไม่ต้องใช้วิจารณญาณอะไรมากเลย ความรู้สึกมันจะบอกเราเอง เหมือนเวลาดูละครแล้วร้องไห้ ดูมุกตลกแล้วขำ มันเป็นแค่เอเนอร์จี้บางอย่างที่ถูกส่งไปกระตุ้นตัวเราให้เกิดความนึกคิดนั้น”
ตั๋มพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเสริมว่าการฮีลลิ่งแบบ PLACEBo คล้ายกันกับเวลาคนเราก้าวเข้าไปดูละครเวที มันคือเมจิกโมเมนต์ของการปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอะไรบางอย่าง เอาตัวเองออกจากความพังของโลกสักแวบหนึ่ง มันไม่ได้หยุดทุกอย่าง แค่เป็นการพาตัวเองออกไปจากมุมเดิมๆ เพื่อจะไปเห็นตัวเองในอีกสถานการณ์หนึ่ง และรู้สึกกับมันได้อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร
“โรงละครมันปล่อยให้คนเราร้องไห้ก็ได้ ขำก็ได้ หรือดูแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ มันเป็นโมเมนต์อย่างนั้น”
เขาบอกว่าบ่อยครั้งมากที่คนมาเแล้วพวกเขาทั้ง 4 คนยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย ลูกค้าก็ทิ้งตัวแล้วบอกว่าชอบที่นี่จัง เป็นเพราะบางครั้งคนเราก็แค่ต้องการพื้นที่ที่ปล่อยให้เขาสามารถรับรู้ถึงความล้มเหลว ความโหดร้ายของชีวิตเขาได้
“ในสังคมนี้ บางทีแม้แต่ในบ้านเขาเองเขายังทำอย่างนี้ไม่ได้เลย การทรุดตัวแล้วระลึกว่า กูแม่งไม่มีอะไรเลย มันไม่มีพื้นที่ไหนแม้แต่ตัวเขาเองที่เปิดโอกาสให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้น” ตั๋มบอก
เพราะแบบนั้นพวกเขาเลยอยากให้ PLACEBo CLUB เป็นพื้นที่ที่คนสามารถโอบกอดกันได้ โฮสต์ทั้ง 4 จะรับหน้าที่เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยนั่งล้อมวงจับมือ ปลอบใจตอนร้องไห้ แล้วนำเครื่องมือประหลาดพิสดารบางอย่างมาช่วยให้รู้สึกดีขึ้น
วริศยืนยันว่าคนที่มาไม่จำเป็นต้องงมงายเลยก็ได้
“กิจกรรมที่ทำๆ กันอยู่มันเป็นแค่การส่งต่อความปรารถนาดี อาจจะดูเหมือนเรามีพิธีกรรม ต้องใช้องค์ความรู้อะไรก็ไม่รู้เยอะจังเลย แต่จริงๆ มันก็แค่การแสดงออกถึงความแคร์ เป็นความแคร์ที่ถูกให้รายละเอียดมากขึ้น ไม่ได้มาบอกให้ฮึบไปเฉยๆ”
ในสายตาของคนที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ตรง เราเห็นด้วยกับคำที่วริศบอก เพราะหากมองข้ามเรื่องเมจิกทั้งหมดทั้งมวล สิ่งที่ทรงพลังจริงๆ ของเซสชันฮีลลิ่งนี้ คือเมสเสจที่พวกเขาส่งมาผ่านสายตา ท่าทีที่ดูรับฟังปัญหา หรือพร้อมจะกระโดดมาสำรวจสภาพจิตใจ สำรวจหาต้นตอว่าเพราะอะไรการไม่ไหลเวียนของเลือดลมเราจึงเป็นแบบนี้ เรามองว่ากระบวนการเหล่านั้นคือการฮีลลิ่งที่ให้ผลลัพธ์เป็นความสบายใจ จับต้องได้ไม่แพ้กระบวนการฮีลลิ่งที่เขาทำให้
หลังอยู่ด้วยกันมาครึ่งค่อนวัน พูดคุยกันตั้งแต่ฟ้าสว่างเปลี่ยนเป็นฟ้ามืด
ก่อนร่ำลา เผ่าเปิดใจบอกว่าสิ่งที่เขาชอบที่สุดในการมีอยู่ของ PLACEBo CLUB คือมันเป็นพื้นที่ที่ทำให้คนหลายๆ คนรู้ว่าเขามีศักยภาพที่จะสลัดทิ้งความกังวลต่างๆ ออกไป ให้เห็นว่าชีวิตของเขายังไปต่อได้ แต่ถ้าถามว่าการมีอยู่ของ PLACEBo CLUB มันไม่ดีอย่างไร เผ่าทำเพียงหัวเราะขื่นๆ ก่อนบอกว่า
“มันยืนยันว่าประเทศนี้ส้นตีนเหลือเกิน”
คำตอบของเผ่าทำให้เรานึกถึงบทสนทนาหนึ่งที่คุยกัน
บทสนทนาที่ว่าถ้าการเมืองดี ประเทศนี้ดี หรือแม้แต่เรามีรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพกาย สุขภาพจิตของคนในประเทศมากกว่านี้ PLACEBo CLUB ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นมาเลยก็ได้