วันนี้ (9 มีนาคม) พิมล ศรีวิกรม์ ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย และนายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงการเลือกตั้งนี้พรรคเพื่อไทยนอกจากจะให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจและปากท้อง ยังได้ให้ความสำคัญกับกีฬา โดยมีแผนจัดทำนโยบายด้านกีฬา ซึ่งเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ และมีโอกาส 3 ส่วนที่สามารถผลักดันเป็นนโยบายได้หากได้เป็นรัฐบาล
- กีฬามวลชนหรือกีฬาทั่วไปที่ทุกคนสามารถเล่นได้ โดยในแต่ละจังหวัดต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ด้านกีฬาที่มีมาตรฐาน สามารถเล่นได้หลากหลายชนิดกีฬา เช่น หากเป็นกีฬากลางแจ้งควรเป็นสนามฟุตบอลที่มีลู่วิ่งหรือกีฬาในร่ม สนามกีฬาควรรองรับได้ทั้งฟุตซอล บาสเกตบอล และตะกร้อ โดยอยู่ในจุดที่มวลชนสามารถเข้าถึงได้ พร้อมเสนอให้พัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปรับปรุงเป็นพื้นที่เล่นกีฬาอย่างเป็นทางการ โดยมีภาครัฐสนับสนุน
- กีฬาเพื่อความเป็นเลิศ เป็นหน้าตาและชื่อเสียงของประเทศ เป็นความสุขและความภาคภูมิใจของคนไทย ในอดีตพรรคไทยรักไทยเคยมีนโยบาย 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ แต่ถูกยกเลิกไป หลายกีฬาไม่ได้รับการสนับสนุนต่อ ทำให้พลาดเหรียญรางวัลในหลายเวที จึงเสนอให้ปัดฝุ่นนำกลับมาทำต่ออีกครั้ง เพราะปัจจุบันกีฬาเทควันโดเป็นกีฬาที่ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจอยู่ ทำให้ไทยยังรักษาความเป็นเลิศด้านกีฬาไว้ได้ หากนโยบายนี้มีการสานต่อ เชื่อว่าไทยจะเป็นผู้นำด้านกีฬาในภูมิภาคนี้
- กีฬาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้ ซึ่งจะมีประโยชน์ในหลายมิติในอนาคต
ด้าน เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส. จังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณบุคลากรด้านกีฬาระดับประเทศที่ให้เกียรติมาเป็นที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬาของพรรคเพื่อไทย ขอให้มั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้า กีฬาของไทย ทั้งกีฬาพื้นฐานและกีฬาความเป็นเลิศจะกลับมาเป็นที่หนึ่งของภูมิภาคอย่างที่เคยเป็น สร้างกีฬาอาชีพให้เป็นอาชีพ ให้พี่น้องประชาชนมีรายได้และอุตสาหกรรมกีฬาเติบโต
ด้าน ชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา นายกสมาคมกีฬาสควอชแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะศิษย์เก่าพรรคเพื่อไทยได้กลับมาช่วยงานที่พรรคอีกครั้งหนึ่ง ตนจะใช้ความรู้ความสามารถ ช่วยดู ช่วยคิด นโยบายที่เกี่ยวกับด้านกีฬาในอนาคตแน่นอน
สำหรับพิมลเป็นทายาทตระกูลศรีวิกรม์ได้ก้าวเข้าสู่การเมืองโดยการเป็นเลขาส่วนตัว ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ครั้งแรกเมื่อพรรคไทยรักไทยลงเลือกตั้งปี 2544 และพิมลเองลงเลือกตั้งในนาม ส.ส. เขต เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 พรรคไทยรักไทย เขต 18 กรุงเทพมหานคร
พิมลถือว่าเป็นนักการเมืองหนุ่มวัยแรงคนหนึ่งในขณะนั้น หลังติดตาม ดร.สมคิด ทำให้ตัวเขาได้บ่มเพาะวิชาความรู้ทั้งที่เรียนมาและการถ่ายถอดงานทางการเมืองมาจากผู้เป็นพ่อ และมาจากการร่วมงานการเมืองเคียงข้าง ดร.สมคิด มานานหลายปี
หลังจากช่วงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 พิมลถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 และได้เข้าไปช่วย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก่อตั้งกลุ่มธรรมาธิปไตย และภายหลังได้เข้าร่วมกลุ่มกับ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ตั้งเป็นพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ต่อมาในปี 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย