วันนี้ (11 ธันวาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการถอนแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมว่า ร่างที่ถอนออกไปคือร่างส่วนตัวของ ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นสิทธิของประยุทธ์เมื่อได้ฟังจากความเห็นต่างๆ เพื่อจะไปนำปรับปรุงเพิ่ม ซึ่งต้องรอว่าประยุทธ์จะปรับอย่างไร ซึ่งเป็นสิทธิของผู้เสนอ โดยไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงกลาโหม มีความเห็นอย่างไรกับร่างดังกล่าว ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนเองขอให้เป็นเรื่องของประยุทธ์ ซึ่งมีทั้งเรื่องที่ถูกคัดค้าน และบางเรื่องก็ได้รับการสนับสนุน เรื่องนี้เราต้องทำเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา จึงอยากฝากให้ช่วยกันพิจารณาเพื่อตอบสนองความถูกต้องตามความต้องการของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยไม่สะเทือนการทำงานที่จะแก้ไขปัญหาให้ประเทศ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้เห็นร่างของกระทรวงกลาโหมที่คงอำนาจให้นายกรัฐมนตรีสั่งพักราชการทหารที่คิดทำรัฐประหาร เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตัดสินใจว่าจะคงอำนาจนี้ไว้หรือตัดทิ้ง ภูมิธรรมกล่าวว่าตนเห็นร่างแล้ว เป็นฉบับที่ สุทิน คลังแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอไว้ โดยวานนี้ตนประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย ที่ประกอบด้วยหลายส่วน เช่น กฤษฎีกา, สภาพัฒน์, กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงกลาโหม
ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนนั่งเป็นประธาน ก็มีการหารือกันหลายประเด็นและมีความเห็นของหลายส่วน ที่อยากให้ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสม รวมถึงเพิ่มเติม โดย พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงกลาโหม ได้รับเรื่องทั้งหมดไว้ทบทวน ซึ่งตนย้ำว่าหากจะทบทวนก็ให้ส่งกลับเข้ามาเร็วที่สุด จะได้ประกบร่างของฝ่ายค้านที่ยื่นเอาไว้แล้ว จากนี้ก็รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามความเหมาะสมและกระบวนการ
ภูมิธรรมปฏิเสธที่จะตอบข้อท้วงติง หรือข้อเสนอในที่ประชุมที่ให้กระทรวงกลาโหมกลับไปแก้ไข โดยกล่าวย้ำว่าให้กระทรวงกลาโหมกลับไปพิจารณาก่อน สิ่งที่เสนอมามีเรื่องไหนที่เห็นตรงกัน ส่วนที่เห็นต่างก็ยังอยู่ในคณะกรรมการกลั่นกรองที่สามารถพูดคุยกันได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในส่วนตัวจะให้คงอำนาจนายกรัฐมนตรีในการสั่งพรรคเพื่อสกัดการรัฐประหารหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ขอกลับไปดูข้อสังเกตของทุกฝ่ายเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดดีกว่า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ปัจจุบันการป้องกันการรัฐประหารกฎหมายเพียงพอหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า กฎหมายการป้องกันการรัฐประหารมีอยู่แล้ว ซึ่งรุนแรงมากกว่าร่าง พ.ร.บ. ของกระทรวงกลาโหมเสียอีก รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุด ได้ระบุไว้แล้วว่าการทำรัฐประหารเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เป็นกบฏ แต่ในความเป็นจริงควรเป็นเรื่องให้ทุกฝ่ายเห็นว่าอะไรคือหนทางในการระงับยับยั้งการทำรัฐประหาร เช่น การสร้างวัฒนธรรมการยอมรับประชาธิปไตยให้พัฒนาต่อเนื่องเหมือนกับต่างประเทศ ภูมิธรรมมองว่าประชาธิปไตยไทยพัฒนามาพอสมควร แต่ต้องให้เวลา ต้องมีกระบวนการที่พัฒนาต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ตนอยากเห็น
อยากเรียกร้องให้ทุกส่วนใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีข้อขัดข้อง แต่เชื่อว่าบรรยากาศที่เห็นอยู่ในปัจจุบันทุกฝ่ายพูดคุยกันได้หมดก็ไม่มีปัญหาใด รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว หรือมีความขัดแย้งจนเป็นเรื่องเป็นราว ปัญหายังไม่เกิดเพียงแต่มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ที่ค้างคาและเป็นเรื่องที่ค้างคาในสังคมมานานแล้ว ก็ให้เขาไปดำเนินการแก้ไขให้เหมาะสมดีกว่า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรยกโมเดลเกาหลีใต้ ให้เพิ่มบทลงโทษลงไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ภูมิธรรมกล่าวว่า ขอไม่ก้าวล่วงความเห็นของประธานสภาผู้แทน ซึ่งปัจจุบันมีความเห็นมากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ เราก็รู้ดีว่าปัญหานี้ดำรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องไปดูสาเหตุด้วย ไม่ใช่เพียงแค่เสนออย่างหนึ่งขึ้นมาแล้วจะแก้ปัญหาได้หมดสิ้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกัน เรื่องไหนไม่เหมาะสม ผิดหลักการ ก็ต้องแก้ไข รอให้มีพัฒนาการจนมีความเห็นที่สอดคล้องกัน
ข้อเรียกร้อง ‘สนธิ’ เป็นแค่ความเห็นหนึ่ง
ภูมิธรรมยังกล่าวกรณี สนธิ ลิ้มทองกุล ยื่นข้อเรียกร้อง 6 ข้อต่อรัฐบาล ซึ่งได้เห็นแล้วหรือยังว่า ตนยังไม่เห็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสิทธิของผู้เสนอ โดยไม่ใช่เฉพาะสนธิ แต่ประชาชนหรือผู้สื่อข่าวใครมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็สามารถเสนอได้ รัฐบาลก็จะรับฟัง และมาดูว่าจะสามารถทำได้มากน้อยขนาดไหน และเห็นพ้องต้องกันหรือไม่อย่างไร เมื่อถามถึงม็อบของสนธิคิดว่าจะจุดติดหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่หมิ่นประมาทการจัดม็อบ เพราะถือเป็นสิทธิของประชาชนภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
ขอเพียงอย่างเดียวคือดำเนินการให้เหมาะสม และพูดให้ตรงข้อเท็จจริง ทั้งนี้ รัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ทำงานไม่ถึง 100 วันก็มีม็อบมาเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งตนมองว่าหากมีเรื่องที่อึดอัดก็สามารถเสนอเรื่องได้ เรายินดีรับฟัง แม้จะเป็นความเห็นที่แตกต่าง เพราะบางคนเห็นมุมที่ต่างกัน เปรียบเหมือนปี๊บ 1 ใบก็เห็นได้หลายด้าน และแต่ละด้านก็แตกต่างกันจึงมองได้หลายมุม แต่ว่าสิ่งที่เห็นเพียงด้านเดียวของปี๊บ ไม่ใช่การเห็นปี๊บทั้งใบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค หรือ JTC ภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะยังต้องรอการทำความเข้าใจพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งเราจะพยายามทำให้เร็วที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หนึ่งในข้อเสนอของสนธิที่เรียกร้องให้เปิดเวทีสาธารณะเกี่ยวกับ MOU 44 นั้น ภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องดูภาพรวมและให้คนที่รับผิดชอบไปดู เพราะข้อเรียกร้องของสนธิบางเรื่องจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเรายังไม่ได้ดู แต่คิดว่าเราต้องฟังความคิดเห็นจากทุกคน ซึ่งความเห็นของสนธิเป็นหนึ่งเสียง ตนคิดว่ายังมีคนเห็นต่างแบบนี้อีกหลายคน และการบริหารประเทศไม่ควรไปโฟกัสที่คนคนเดียว