×

เพื่อไทยผลัดใบ เลือกหัวหน้า-กรรมการพรรคใหม่ สู้ศึกสภาฯ หมดยุคสตันต์แมน

12.07.2019
  • LOADING...
พรรคเพื่อไทย

ที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เคาะชื่อ ‘สมพงษ์ อมรวิวัฒน์’ นั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทน พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ ที่ลาออก แต่ทว่านี่ไม่ใช่การเลือกหัวหน้าแบบปกติทั่วไป เพราะเป็นการเลือกหัวหน้าเข้าไปทำหน้าที่แม่ทัพในสภาฯ ในฐานะ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’​ ของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ภารกิจหลักคือการสู้ศึกในสภาฯ

 

พรรคเพื่อไทยได้ พล.ต.ท. วิโรจน์ เป็นหัวหน้าพรรคไม่นานก่อนเลือกตั้ง หลังนั่งเป็นรักษาการหัวหน้าพรรค ตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2557 ก่อนที่ คสช. จะปลดล็อกให้มีการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จึงเคาะให้ พล.ต.ท. วิโรจน์ เป็นตัวจริง

 

พรรคเพื่อไทย

 

หากใครติดตามการเมืองมาโดยตลอด ก็ย่อมรู้และเห็นได้ว่า ‘หัว’ ตัวจริงของเพื่อไทยนั้น อยู่ใกล้หรือไกลจากที่ตั้งพรรค แม้ในช่วงการเลือกตั้งบทบาทของ พล.ต.ท. วิโรจน์ ก็ไม่ได้เด่นชัด เท่า ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ’ ที่นั่งกุมบังเหียนเป็นประธานยุทธศาสตร์

 

ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยมักใช้ตัวแสดงแทนมาโดยตลอด จัดสรรบุคคลของพรรคที่อาจไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงเข้ามาเป็นกรรมการบริหาร เหตุผลสำคัญก็เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่มีอุบัติเหตุ ‘ถูกยุบพรรค’ เพราะกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิ์ และเว้นวรรคทางการเมือง หลายคนเคยพักร้อนทางการเมืองแบบไม่ต้องการมาแล้ว จึงรู้รสชาติและสัมผัสความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

 

พรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทย

 

ที่ผ่านมาชื่อ ‘สมพงษ์’ ดูจะไม่ค่อยคุ้นหูของประชาชนนัก เพราะไม่ปรากฏบทบาทในฐานะแกนนำที่มีชื่ออยู่ในหน้าสื่อ มีเพียงความเคลื่อนไหวในปี 2561 ที่ปรากฏชื่อสมพงษ์ไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม ซึ่งถูกจดจัดตั้งไว้เป็นพรรคสำรองให้กับเพื่อไทยหากมีกรณีถูกยุบพรรค 

 

แต่ในที่สุดสมพงษ์ก็ขยับมาลงสมัคร ส.ส. เขต 5 เชียงใหม่ ในนามพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งเข้าสภาฯ ชื่อสมพงษ์กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ก็เมื่อได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานสภาฯ

 

กระบวนทัพกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่นี้ เรียกว่าเป็นยุคผลัดใบ นับแต่พรรคพลังประชาชนถูกยุบ ต่อเนื่องมายังเพื่อไทย หัวหน้าพรรคมักไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการบริหารพรรคจริง แต่เป็นบุคคลระดับแกนนำอื่นที่ไปสวมหมวกแยกใบ แต่แท้ที่จริงคือผู้มีอำนาจจัดเต็ม เหมือนกรณีที่วันนี้ พรรคเพื่อไทยเคาะ ‘สุดารัตน์’ เป็นประธานยุทธศาสตร์ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ มีบทบาทที่ชัดเจนยิ่งกว่าหัวหน้าพรรค

 

สมพงษ์บอกสื่อว่า กรรมการพรรคชุดใหม่ “ไม่มีสตันต์แมนที่เข้ามานั่งในตำแหน่งแต่ไม่ทำงาน” อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า ไม่อาจใช้ตัวแสดงแทนอีกแล้ว ทำให้รายชื่อกรรมการบริหารเป็น ส.ส. ในสภาฯ หลายคน เป็นบุคคลที่เคยปฏิเสธเก้าอี้นี้ แต่วันนี้ เมื่อกติกาใหม่ทำให้เพื่อไทยพ่ายเกมเลือกตั้งในรอบทศวรรษ จึงจำเป็นต้องผลัดใบปฏิรูปใหม่ ใช้คนสามรุ่น คือ ใหญ่ กลาง ใหม่ ผสมผสานกันเพื่อทำงานทั้งในและนอกสภาฯ ให้มีศักยภาพสูงสุด

 

ที่ผ่านมาในห้วง คสช. ครองอำนาจ หัวหอกสำคัญที่ประคองพรรค และยืนหยัดต่อสู้มาโดยตลอด คือ ภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรค ที่ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย ช่วงหนึ่งจึงมีการขอบคุณ และมอบภาพวาดเป็นที่ระลึกให้กับภูมิธรรม โดยสุดารัตน์ พร้อมกลอนที่หมอทศพรแต่งมอบให้ว่า “ภูมิใจมีภูมิธรรม วิโรจน์นำสว่างไสว เพื่อประเทศ ประชาธิปไตย นำเพื่อไทย สู่ใจคน”

 

อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. ในฐานะคนรุ่นกลางของเพื่อไทย เป็นผู้รับไม้ต่อเลขาธิการพรรคจากภูมิธรรม เขาคือมือทำงานคนสำคัญของสุดารัตน์ การเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งสำคัญนี้ จึงหมายถึงการเข้ามายึดพื้นที่การบริหารพรรคสไตล์สุดารัตน์นั่นเอง ที่หวังจะปฏิรูปให้เพื่อไทยเป็นพรรคแนวใหม่ ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

 

พรรคเพื่อไทย

 

สุดารัตน์กล่าวบนเวทีพรรคต่อหน้าสื่อมวลชนและสมาชิกว่า พรรคเพื่อไทยคือแหล่งรวมของนักสู้เพื่อประชาธิปไตย นักบริหารมืออาชีพ และนักคิดนโยบายเชิงนวัตกรรม และเมื่อพรรคได้บริหารประเทศก็ทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดีทุกครั้ง เพราะรู้จักการปรับตัว 

 

แต่ครั้งนี้เป็นสถานการณ์ที่หนักหน่วงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาในรอบ 21 ปี มีถึง 3 ความท้าทายคือ 1. การเมือง รัฐธรรมนูญ และกติกาที่บิดเบี้ยว รวมถึงการใช้อำนาจองค์กรอิสระที่ไม่เป็นธรรม 2. เศรษฐกิจตกต่ำ จากการบริหารประเทศที่ล้มเหลวของ คสช. 3. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ถ้าไทยไม่ปรับตัวจะตกยุคทันที

 

สุดารัตน์ ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยมีคนทำงานถึง 3 รุ่น รุ่นใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญ รุ่นกลางที่เป็นมืออาชีพ และรุ่นใหม่ที่มีพลังเต็มเปี่ยม และจะทำงานทันทีโดยไม่รออำนาจรัฐ เพื่อคืนความอยู่ดีกินดี และความสงบสุขให้กับคนไทยและประเทศไทย คืนประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง 

 

พรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทย

 

จากนี้จะเป็นการเปิดศึกสู้เกมสภาฯ อย่างดุเดือด เมื่อมี ครม. จากกติกาใหม่ แต่อยู่ภายใต้หลักการใหญ่ที่เรียกว่าประชาธิปไตย รัฐนาวาที่มี พล.อ. ประยุทธ์ เป็นกัปตัน จึงไม่ง่ายและไม่เหมือนเมื่อครั้งตัวเองมีอำนาจเต็มมือ

 

การตรวจสอบภายใต้ระบอบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้านคอยทำหน้าที่ จะได้เปิดฉากแรกในศึกอภิปรายชำแหละนโยบายที่รัฐบาลต้องแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา จากนั้นไม่นานเกินรอ สมพงษ์บอกนักข่าวแล้วว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นฉากต่อเนื่องตามมา ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ได้สมกับภาษีที่ประชาชนจ่ายเป็นเงินเดือนหรือไม่ จากนี้คนไทยทุกคนจะได้เห็นกัน 

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising