เพนตากอน เตรียมสั่งให้ทหารทุกนายในกองทัพสหรัฐฯ เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด

เมื่อวานนี้ (9 สิงหาคม) กระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา หรือ เพนตากอน เปิดเผยว่า ทางการเตรียมออกคำสั่งให้นายทหารทุกนายในกองทัพสหรัฐฯ เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด หลังผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตสูงขึ้น แม้การฉีดวัคซีนให้พลเมืองส่วนใหญ่จะรุดหน้า คาดว่าจะเริ่มประกาศใช้คำสั่งดังกล่าวช่วงเดือนกันยายนนี้

เบื้องต้นมีนายทหารราว 7.5 แสนรายที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน ขณะที่มีนายทหารราวครึ่งกองทัพเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้ว หรือคิดเป็น 62% ของนายทหารที่ประจำการอยู่ในขณะนี้ ไม่นับรวม National Guard และกำลังพลสำรอง โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ เป็นทหารเหล่าที่มีสัดส่วนการเข้ารับวัคซีนมากที่สุดขณะนี้ โดย 73% ของทหารเรือเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้ว

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกแถลงการณ์ระบุ “การเข้ารับการฉีดวัคซีนจะช่วยทำให้สมาชิกของกองทัพมีสุขสภาพที่ดี แข็งแรง มีส่วนช่วยในการป้องกันและลดความเสี่ยงให้กับครอบครัวของพวกเขา อีกทั้งยังเป็นหลักประกันว่ากองกำลังของพวกเราพร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดในโลก”

เพนตากอนตั้งเป้าการฉีดวัคซีนให้กองทัพช่วงราวกลางเดือนกันยายนนี้ ตามการคาดการณ์ว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) จะอนุมัติการใช้วัคซีนโควิดชนิด mRNA จาก Pfizer Inc และ BioNTech SE อย่างสมบูรณ์ภายในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่ได้รับการอนุมัติในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากที่สามารถใช้วัคซีนได้ในปัจจุบันเป็นเพียงการอนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิดได้เป็นกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า เดดไลน์ดังกล่าวอาจมีการปรับเลื่อนได้ หาก FDA รับรองและอนุมัติการใช้วัคซีนนี้เร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งทางการสหรัฐฯ คาดว่าการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ FDA ให้การรับรองและอนุมัติการใช้วัคซีนได้อย่างเต็มรูปแบบ จะสามารถช่วยสร้างความมั่นใจในการเข้ารับวัคซีนและลดความกังวลเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยจากการฉีดวัคซีนลงได้

ล่าสุด สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุด สูงเกือบ 36 ล้านราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมมากที่สุดกว่า 6.17 แสนราย โดยสหรัฐฯ เดินหน้าฉีดวัคซีนไปแล้ว 351.93 ล้านโดส มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในเชิงปริมาณ เป็นรองเพียงจีนและอินเดีย มีพลเมืองราว 58.8% เข้ารับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส ขณะที่ 166.6 ล้านราย หรือคิดเป็น 50.2% ของพลเมืองทั้งหมดเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้ว

บทความที่เกี่ยวข้อง: