“ปีเตอร์เป็นนักแสดงในดวงใจของเราเลย ทั้งนักแสดงผู้ชายและผู้หญิงนะ รวมกันสองเพศ เขาคือคนที่เราคารวะที่สุด”
ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง มักจะพูดถึง ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม อย่างยกย่อง ยอมรับทุกครั้งที่บทสนทนานำพามาสู่เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘นักแสดงชาย’ ในหนังของเขา ซึ่งครั้งล่าสุดเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการทำงานภาพยนตร์ และเขาเองกำลังจะมีหนังใหม่เรื่องที่ 9 ‘Samui Song ไม่มีสมุยสำหรับเธอ’ เป็นเอกก็พูดถึงปีเตอร์ในแง่มุมที่น่าประทับใจอีกครั้ง
เช่นกันกับ ปีเตอร์ นพชัย ที่นอกจากจะเป็นแฟนหนังของเป็นเอกอย่างเหนียวแน่น แต่สิ่งที่น่าจะเซอร์ไพรส์ยิ่งขึ้นคือการที่เขาเปิดเผยว่า “อยากเป็นตัวละครในหนังของเป็นเอก ตั้งแต่ตอนที่ตัวเขาเองยังไม่ได้ก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงในวงการบันเทิงเลยด้วยซ้ำ!” ฉะนั้นวันหนึ่งเมื่อฝันเป็นจริง มันเลยเป็นเหตุเป็นผลที่เขาบอกกับ THE STANDARD ว่า “ตอนถ่ายทำ นางไม้ หรือ ฝนตกขึ้นฟ้า มันคือหนึ่งในช่วงเวลาอันดับต้นๆ ที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตการทำงานในรูปแบบนักแสดง”
บอกเลยว่าเมื่อได้ฟังเป็นเอกพูดถึงนักแสดงชาย เราสนใจทันทีว่ามันเกิดขึ้นจากเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้ระหว่างผู้ชายสองคน ‘ผู้กำกับ’ และ ‘นักแสดง’ ยอมรับและชื่นชมในบทบาทหน้าที่ของกันได้ 20 ปีเป็นเอกของเป็นเอกทั้งที ไปฟังเขาทั้งคู่พูดถึงกันและกันดู
Scene 1
“ผมไม่อยากเป็นส่วนที่เหี้ยในหนังที่ดีอ่ะครับพี่ ผมก็เลยต้องซีเรียสมาก (ยิ้ม) ไอ้เหี้ย แม่งเอ๊ย จริงว่ะ” เป็นเอก รัตนเรือง พูดถึง นพชัย ชัยนาม
ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม นี่เรียกว่ามาเหนือเมฆมากฮะ มีเรื่องหนึ่งความจริงเราจำไม่ได้แล้วนะ แต่ปีเตอร์มาเล่าให้ฟังในวันที่สนิทกันแล้ว คือทีมนักแสดง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนี่ยเขาเป็นแฟนหนังเป็นเอก พอรอบสื่อหนังเรื่อง พลอย พวกนี้เขาก็ยกโขยงกันไปดูรอบสื่อมวลชนกันเป็นทีม แล้วพอดูหนังเสร็จออกมาจากโรง ปีเตอร์มาสวัสดีเรา วันนั้นเขาพูดทำนองว่า “สวัสดีครับ ผมปีเตอร์ครับ วันหนึ่งถ้ามีโอกาส ผมอยากร่วมงานกับพี่ อยากเล่นหนังพี่” ปีเตอร์บอกว่าพอผมพูดเสร็จ พี่บอกผมว่าอะไรรู้ไหม พี่บอกผมว่า “สวัสดีครับ ขอบคุณมากครับ แต่หน้าตาแบบปีเตอร์คงไม่ได้เล่นหนังเราหรอก” (หัวเราะ) คือหน้าตามันหล่อ หน้าตามันลูกครึ่งฝรั่ง เราไม่ค่อยชอบ ไม่เคยคิดว่าจะใช้
แต่ต่อมาเขาขอมาแคสต์เลยฮะ แคสต์แบบเหมือนนักแสดงโนเนมเลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นพระราชมนู (ตัวละครสำคัญในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) โอ้โห แล้วเราก็โคตรประทับ ตรึงอยู่ในใจมาก เขาเป็นคนที่ดูมีสมาธิมาก เราเองก็มองหาคนแบบนี้อยู่ในบทนั้น
นางไม้ (2552) หนังมันเงียบไง พอรู้ว่าหนังมันจะเงียบๆ เราเลยต้องการคนที่อยู่กับความเงียบได้ดี แล้วเหมือนเขาแสดงให้เห็นตรงนั้นเลย เราก็เลยเลือกเขามาเล่น
พอเล่นเรื่องนางไม้เสร็จ ปรากฏว่าในหนังเขาไม่ค่อยเด่นเท่าไร แต่ส่วนตัวเราประทับใจเขามาก แล้วกลายเป็นว่าเราสนิทกันด้วย เพราะมันเป็นคนคล้ายๆ กัน จนมาถึงตอนเตรียมงานทำเรื่อง ฝนตกขึ้นฟ้า นี่เห็นชัดเลยฮะว่า ไอ้บทคนนี้แม่งไม่ใช่ใคร ไม่ต้องเสียเวลาแคสต์ให้เมื่อยตุ้ม เอาปีเตอร์มาเลย นัดวันกันว่าว่างวันนี้หรือวันนี้ไหม เขาก็ยิ่งกว่ายินดีจะทำ
แล้วดูสิ ฝนตกขึ้นฟ้า แม่งเล่นฆ่าทุกคนตายหมด หนังทั้งเรื่องแม่งเดินเรื่องได้เพราะเขา แล้วไม่ใช่ที่เมืองไทยอย่างเดียวนะ โอ้โห นักวิจารณ์ฝร่งฝรั่ง ไม่มีคนชมหนังเลย มีแต่คนชมปีเตอร์
…แต่เรื่องนั้นมีเรื่องน่ากลัวอยู่ ตรงที่เขาอินมากจนเขาออกมาไม่ได้ แล้วมันเป็นปัญหากับชีวิตเขาไปซักพักหนึ่งเลยหลังจากถ่ายเสร็จ
ซีนสุดท้ายใน ฝนตกขึ้นฟ้า ที่เขาต้องฆ่าเจ้านาย ต้องเอาหมอนกดหน้าเจ้านาย เขาเล่นได้เทกเดียว หลังจากนั้นเล่นไม่ได้ ร้องไห้ไม่หยุดเลย แล้วเราไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร แต่ถ่ายต่อไม่สำเร็จ ได้เทกเดียว เทกที่ใช้ในหนังนั่นคือเทกเดียวที่มี
แล้วพอเป็นเรื่องซีเรียสขนาดนี้ เราก็ไม่อยากไปยุ่งกับนักแสดง หมายถึงเราไม่ไปถามว่าเขาเป็นอะไร มันเป็นสิทธิ์ของเขา มันอาจจะเป็นเรื่องอะไรในอดีตของเขา เราไม่อยากไปรู้ เราไม่เคยเห็นนะ นักแสดงที่ไปถึงจุดนั้น ที่อินเข้าไปจนลึก ดิ่งเข้าไปจนถึงขนาดนี้
พวกกองถ่ายเราสนิทกับเขามากนะ คือเวลาไม่ถ่ายหนังนี่นัดมากินเหล้ากัน สนิทเหมือนเพื่อนเลย ไปเที่ยวเนปาลกันกับปีเตอร์ แต่พออยู่ในกองถ่ายไม่มีใครกล้าพูดกับเขานะ ไม่กล้ายุ่ง แล้วทุกคนก็จะกระซิบกระซาบกัน เอาอีกแล้วๆ ดิ่งเข้าไปอีกแล้ว (ยิ้ม) คือแม่งชอบอำว่าปีเตอร์แม่งซีเรียส เขาซีเรียสจริงๆ เขาซีเรียสกับสิ่งที่เขาทำมาก เวลาอยู่ในกองเขาไม่ค่อยพูดกับใคร เวลากินข้าวเขากินคนเดียว เรียกมาแต่งหน้าเขาก็มาแต่ง แต่งเสร็จแล้วเขาก็ไปอยู่ของเขาคนเดียว ไม่ค่อยยุ่งกับใคร
เคยคุยกับปีเตอร์เพราะสนิทกัน ถามว่าทำไมปีเตอร์ซีเรียสขนาดนี้… เขาพูดมาประโยคหนึ่งแม่ง ซึ้งน้ำใจเลย เขาบอก “ผมไม่อยากเป็นส่วนที่เหี้ยในหนังที่ดีครับพี่” ผมก็เลยต้องซีเรียสมาก (หัวเราะ) ไอ้เหี้ย แม่งเอ๊ย จริงว่ะ
ปีเตอร์เนี่ยเป็นนักแสดงในดวงใจของเราเลย ทั้งผู้ชายและผู้หญิงนะ รวมกันสองเพศ เขาคือคนที่เราคารวะที่สุด ความตั้งใจแม่งมหาศาล ความตรงเวลายิ่งไม่ต้องพูดถึง มาก่อนเวลาเสมอ แล้วเทคนิค การเข้าไปสู่ตัวละคร แม่งมีครบหมดทุกอย่าง แล้วก็มีความไม่มั่นใจในตัวเองสูงมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีมาก เพราะไอ้ความมั่นใจในตัวเองเนี่ย มันทำให้คนแม่งพังมาเยอะแล้วฮะ แต่ปีเตอร์ไม่ เขามีแต่ความหวาดระแวง ความไม่มั่นใจ เราชอบคนแบบนี้มาก เพราะมันเป็นคนคล้ายๆ เรา คือมีแต่ความกลัวว่างานมันจะออกมาไม่ดี แล้วความไม่มั่นใจในตัวเองนี่มันดีตรงที่มันแสดงให้เห็นว่าเขาแคร์มากกับสิ่งที่เขาทำ เขาไม่กล้ามั่นใจในมัน… ถ้าได้ร่วมงานกันไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าจะเป็นของขวัญในชีวิตการทำหนังของเราเลยแหละ
Scene 2
“ทุกอย่างมันเกิดจาก ฝัน บ้า คาราโอเกะ”
นพชัย ชัยนาม เริ่มต้นเล่าจากการย้อนกลับไปเล่าถึงหนังเรื่องแรกในชีวิตผู้กำกับของ เป็นเอก รัตนเรือง… ซึ่งจะว่าไปมันเป็นหนังที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกแรกในการอยากเป็นนักแสดงเลยเชียวนะ!
ย้อนกลับไปตอนยุคที่ ฝัน บ้า คาราโอเกะ (2540) ออกมาเนี่ย มันเป็นหนังที่เรียกให้เราไปดูได้ตั้งแต่เราฟังสปอตรายการวิทยุ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม เหมือนหนังมันมีคาแรกเตอร์อะไรบ้างอย่างที่เราไม่ชิน เป็นรสชาติที่เราไม่เคยเจอมาก่อนมั้ง แล้วพอเราเข้าไปดู เราก็รู้สึกกับมันจริงๆ ผมว่าฝันบ้าฯ มันเป็นสิ่งใหม่สำหรับวิธีการเล่าเรื่องของมนุษย์คนหนึ่งมองมนุษย์อีกคนหนึ่งในแบบของตัวเอง
หนังของ ต้อม เป็นเอก ก็คือตัวตนของ ต้อม เป็นเอก
ผมว่าจริงนะ เพราะว่าพี่เป็นเอกคงไม่ทำอะไรที่ตัวเองไม่รู้สึกด้วย เพราะไม่อยากจะเล่าตรงนั้นด้วย เพราะฉะนั้นแสดงว่ามันต้องผ่านมุมมอง ความเชื่อ หรือสะท้อนมุมใดมุมหนึ่งของเรื่องราวที่กำลังคิดอยู่ แต่สิ่งที่ชัดที่สุดเลย คือถ้าใครเป็นคนที่พอจะรู้จักเขามาบ้าง จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความพูดตรงๆ มีความกวนแบบที่ตัวเองอาจจะไม่รู้ว่ากำลังกวนอยู่ (หัวเราะ) แต่เขาเป็นคนอย่างนั้นเอง แล้วหนังของเขาก็เป็นอย่างนั้นด้วย
ตัวอย่างภาพยนตร์ ฝนตกขึ้นฟ้า (2554)
ยิ่งเราดูหนังของพี่เป็นเอกไปเรื่อยๆ เราก็คงเข้าใจภาวะ ความรู้สึกนึกคิดของเขาไปเรื่อยๆ มั้ง ผมว่าในแต่ละเรื่องมีบางอย่างคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นความตลกร้ายหรืออะไรก็ตาม แต่ขณะเดียวกันมันก็มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่เสมอก็คือความเป็นตัวตนของเขาในหนังมั้ง ที่มันทำให้ไม่ว่าหนังของพี่เป็นเอกจะออกมากี่เรื่องก็ตาม จะรู้สึกว่ามันมีอะไรให้เราสนใจ
หนังของพี่เป็นเอกจะเหมือนอย่างที่เขาชอบพูดกันว่า… พอเราออกมาจากโรงแล้วหัวเราจะไม่ว่าง ผมชอบหนังแบบนั้นมั้ง หมายถึงว่าแม้แต่กับผู้กำกับคนอื่น อาจจะเป็นผู้กำกับหนังต่างประเทศหรืออะไรก็ตาม
“การทักทายแรกระหว่างปีเตอร์ นพชัย กับ เป็นเอก”
ความจริงผมก็ไม่ใช่คนอย่างนั้นนะ มันเกิดจากหนังเรื่อง ฝัน บ้า คาราโอเกะ (2540) เลย ผมยังจำได้ว่าไปดูหนังเรื่องนี้กับเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ผมจำความรู้สึกตอนออกจากโรงได้ว่าหนังมันเท่จังเลย เราไม่เคยดูหนังแบบนี้ ผมเป็นคนชอบดูหนังไทย ดูมาตั้งแต่ท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ในยุคแรกๆ หรืองานของคุณมานพ อุดมเดช บางเรื่อง อย่าง กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน (2534) แต่ระหว่างทางจนมาถึง ฝัน บ้า คาราโอเกะ (2540) มันก็ยังไม่มีอะไรที่โดนใจเราได้ในลักษณะนี้มั้งครับ
พอดูจบแล้วผมก็เกิดไอเดียที่แปลกมาก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดมาก่อนเลย แต่ออกจากโรงวันนั้นในใจผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งได้เล่นหนัง อยากเล่นหนังแบบนี้ มันคงสนุกดี
ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่ได้เป็นนักแสดงเลยนะ ตอนนั้นผมยังเป็นกราฟิกดีไซน์ธรรมดาๆ ในบริษัทเล็กๆ อยู่เลย
จนวันหนึ่ง เป็นช่วงที่ผมผ่านการเล่นละคร เล่นภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แล้ว ผมมีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่อง พลอย (2550) รอบสื่อมวลชน พอดูเสร็จออกมาจากโรง แล้วเห็นพี่เป็นเอกยืนอยู่ พอไปยืนอยู่ตรงหน้า อาจจะเป็นเพราะมันอยู่ในใจมั้งครับ ผมก็พูดออกไปประมาณว่า… “ผมชอบหนังพี่ แล้วก็พูดเหมือนไปขอเขาเล่นหนัง แต่จำไดอะล็อกชัดๆ ไม่ค่อยได้แล้ว (หัวเราะ) แต่ผมจำคำตอบพี่เป็นเอกได้ เขาตอบกลับมาว่า “พอดีว่าหนังผมเนี่ย ไม่ค่อยมีคาแรกเตอร์อย่างคุณ” เหมือนโดนเขาปฏิเสธ ซึ่งเขาก็พูดแบบจริงใจออกมา
รู้สึกยังไงบ้างที่โดนปฏิเสธจากผู้กำกับที่อยากร่วมงานด้วย
รู้สึกว่าดีแล้วที่ได้บอกเขา เพราะเราก็อยากเล่นหนังของเขาจริงๆ แต่เก็บไว้ในใจตลอดมา แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ใช่นักแสดงเบอร์ใหญ่ที่จะไปบอกอะไรแบบนั้นกับเขาได้
จนวันเวลาก็ผ่านไป ผมมีโอกาสได้ไปแคสต์หนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งทีมงานนั้นก็เป็นทีมงานแคสติ้งให้กับหนังของพี่เป็นเอกด้วย ท้ายที่สุดระหว่างการแคสต์ ทีมงานเขาก็ให้ผมพูดประมาณว่า งั้นก็บอกมาในเทปหน่อยแล้วกันว่าทำไมถึงชอบหนังพี่เป็นเอก ผมก็บอกไปในเทปแคสติ้งนั้น ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเพราะเหตุการณ์นี้หรือเปล่าผมถึงได้มีโอกาสไปแคสต์หนังเรื่องนางไม้กับทีมนี้ด้วย
เบื้องหลังการทำงานในกองถ่าย The Life Of Gravity แรงดึงดูด
“ผมไม่อยากเป็นสิ่งที่เหี้ยในหนังของพี่”
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ พอเราเคยดูหนังของพี่เป็นเอกมาก่อน ดูแล้วเราก็ชอบ แล้วพอวันหนึ่งเราจะต้องเป็นตัวละครในหนังของเขาที่เราเคยดู ซึ่งผมรู้สึกว่าหนังของพี่เป็นเอกแต่ละเรื่อง สำหรับเรามันก็เป็นหนังที่น่าสนใจ และคนอื่นก็น่าจะสนใจด้วย แล้วผมไม่อยากเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่แปะอยู่ในหนังแล้วมันดูเหี้ยๆ หมายถึงไม่อยากให้หนังมันเป็นรอยจากตัวผม ผมไม่อยากเป็นคนนั้น
เป็นเอกเล่าถึงความจริงจังตั้งใจของปีเตอร์ตอนอยู่ในกองถ่าย ถามคุณกลับ คิดว่าเราซีเรียสกับมันมากไปไหม
ไม่นะ เพราะผมรู้สึกว่า… ถ้าความหมายของคำว่านักแสดงสำหรับผมนะ นี่แหละคือสิ่งที่ต้องทำ ต้องบอกว่าการเป็นนักแสดงเนี่ยโอกาสมันยากอยู่แล้ว ทั้งอายุ ทั้งช่วงเวลาของคนที่อยากเป็นนักแสดง มันน้อยจริงๆ ที่เราจะได้เล่นหนังสักเรื่อง เช่น ถึงผมจะดังมาก แต่ผู้กำกับเขาไม่ชอบ เราก็ไม่ได้เล่น
พอเราตระหนักว่าโอกาสมันน้อย เมื่อถึงวันที่เราได้หนังที่อยากเล่น หนังที่ชอบเล่น มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคำว่าดีที่สุด
ช่วงเวลาที่ทำงานแสดงสำหรับผมมันคือช่วงเวลาที่สนุกที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้นเราก็จะใช้ช่วงเวลานั้นให้มันดีที่สุด เต็มที่สุดครับ ผมเลยทิ้งทุกอย่าง แล้วทำมันอย่างเดียว
การจะได้เป็นนักแสดงสักเรื่องว่ายากแล้ว แต่การได้เป็นนักแสดงในหนังของผู้กำกับที่ชื่นชอบ คือความรู้สึกแบบไหน ตัวจริงเหมือนหรือต่างจากที่คิดไว้หรือเปล่า
ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยเจอคนที่เข้าใจนักแสดงในแบบผมมั้ง เวลาทำงานด้วยกันผมเลยรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่เข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะทำ เข้าใจในสิ่งที่เราคิด แต่ในขณะเดียวกันก็กำกับเราไปด้วย แต่ว่ากำกับด้วยความเข้าใจ นั่นทำให้เรารู้สึกว่าอยากไปกองถ่าย เราไปทำงานแล้วเราสบายใจ และสุดท้ายมันมีความสุข
ตอนถ่ายทำนางไม้ หรือ ฝนตกขึ้นฟ้า มันคือหนึ่งในช่วงเวลาของชีวิตอันดับต้นๆ ที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตการทำงานในรูปแบบนักแสดง
คิดย้อนหลังไปมันก็คงรู้สึกภูมิใจมั้ง แต่ผมรู้สึกว่าความรู้สึกของมันจริงๆ คือ เมื่อไรมันจะมีแบบนี้ได้อีก หมายถึงว่า เออ ช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปแล้ว คือตอนฉายมันก็มีความสุขแบบหนึ่งนะ แต่มันก็แค่แว่บๆ แต่ตอนทำงานมันมีความสุขทั้งวัน ตื่นมามันมีแรงบันดาลใจ เดี๋ยวเราจะทำการบ้าน อ่านบท แต่พอถ่ายหนังเสร็จ ความรู้สึกของผมมันคือจบ หมดเวลาสนุกละ โอเค เราก็จะไปทำงานที่มีความสุขบ้าง ไม่มีความสุขบ้างต่อไป
จากนักแสดง จนถึงวันที่ได้มาเป็นผู้กำกับ ได้เรียนรู้อะไรจากผู้กำกับที่ได้ร่วมงานมาบ้างไหม
ประสบการณ์ทำงานกับผู้กำกับทุกคนติดตัวเรามาแน่นอน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะเวลากำกับมันคือการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของเราด้วย ไม่ว่าจะเป็น ท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หรือผู้กำกับละครที่ผมมีโอกาสได้เล่นในยุคแรกๆ อย่างพี่โอ๋-ฐาปกรณ์ ดิษยนันทน์ (สะพานดาว-2542) เราจำประสบการณ์จากตรงนั้นมาแล้วนำมาใช้ แล้วเราก็เลือกใช้ด้วย เลือกใช้ในส่วนที่ดี ที่คิดว่าเหมาะสมกับตัวเราเอง
พอเราชอบอาชีพนักแสดง การกำกับมันก็ทำให้เราได้อยู่ใกล้ชิดกับงานที่เราชอบอยู่ดี ในวันที่เราอาจจะได้แสดงน้อยลง หนังไทยก็มีน้อย แล้วเราก็ไม่ใช่นักแสดงประเภทที่จะเล่นอะไรก็ได้ มีบทส่งมาแล้วก็รับเล่นกันไป มันก็เลยเกิดความขัดแย้ง คือเราอยากจะเป็นนักแสดงแทบตาย อยากเล่นแทบตาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรมาก็รับไว้ เพราะเรารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าเราทำได้ไม่ได้ ชอบหรือไม่ชอบ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าเราไม่มีความสุขในกองถ่าย เราอาจจะไม่เข้าใจมันเลย ทำก็ไม่ได้ ผมถึงได้บอกว่ามันหายาก เพราะเมื่อเราไปทำ เราก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ทำด้วย
ผลงานของ ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม ในหนังของ เป็นเอก รัตนเรือง
นางไม้ (2552)
ฝนตกขึ้นฟ้า (2554)
แรงดึงดูด (2557)
หนัง เป็นเอก รัตนเรือง ในใจ ปีเตอร์ นพชัย
1. ฝัน บ้า คาราโอเกะ (2540): เป็นความประทับใจส่วนตัวมั้ง อันดับแรกยังคงเป็นฝันบ้าฯ แม้หลายคนจะบอกว่าวันเวลามันผ่านมาแล้ว แต่ผมว่าในขณะนั้น มันประทับใจสุด
2. เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล (2546): หนังเหมือนพาเราไปอีกจุดที่มากกว่าฝันบ้าฯ มากกว่า เรื่องตลก 69 เป็นโลกที่สนุก เล่าเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมในตอนนั้นนะ
3. มนต์รักทรานซิสเตอร์ (2544), เรื่องตลก 69 (2542): มนต์รักฯ นี่สนุกมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะบทประพันธ์ที่เล่าบรรยากาศแบบไทยๆ ด้วยหรือเปล่า แต่ในขณะเดียวกันหนังก็มีความร่วมสมัย เพราะบทกับวิธีเล่ามันขัดแย้งกันมาก มันเลยสนุก เลยมีสีสัน ทุกวันนี้เวลาเปิดไปเจอตามช่องทีวีดิจิทัลยังอยากหยุดดูทุกครั้ง แล้วสำหรับผม หนังที่ผมชอบ มันมักจะเป็นหนังที่ผมสามารถดูกี่รอบก็ได้ แล้วก็ยังรู้สึกชอบทุกครั้งเวลาถึงซีนบางซีน หรือไดอะล็อกบางอย่างที่มักจะโดนเราอยู่ตลอด
ส่วน เรื่องตลก 69 ก็สนุก แล้วในตอนนั้นที่หนังเข้าฉาย ไม่นึกว่าพี่หมิว (ลลิตา ปัญโญภาส) ที่เราเคยดูละครเมื่อตอนเด็กๆ เขาจะมาทำอะไรแบบนี้เหรอวะ แล้วหนังก็มีวิธีเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่งซึ่งเราไม่ค่อยเห็นในภาพยนตร์ไทย มีความตลกร้าย ซึ่งผมมองว่า เรื่องตลก 69 เป็นเรื่องแรกๆ ที่ความตลกร้ายของพี่เป็นเอกออกมาชัดเจน