ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยมีสัญญาขายคืน หรือ Reverse Repo ระยะ 14 วัน เมื่อวานนี้ (19 กันยายน) พร้อมเดินหน้ายกระดับการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบธนาคาร เพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
แถลงการณ์ระบุว่า ทางธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงิน 2 พันล้านหยวน เข้าสู่ระบบการเงินผ่านข้อตกลง Reverse Repo ระยะ 7 วัน และอีก 1 หมื่นล้านหยวน ผ่านข้อตกลง Reverse Repo ระยะ 14 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Evergrande ให้คำมั่นว่าจะกลับมาพัฒนาโครงการต่อให้เสร็จ เพื่อบรรเทาวิกฤตอสังหาของจีน
- 10 กองทุนหุ้นจีน ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน แกร่งสุด
- ฝ่ามรสุมข่าวร้าย! จีนอัดฉีดเงินมหาศาล เศรษฐกิจไปต่อหรือแค่ประคองตัว?
สำหรับเป้าหมายของการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินรายวันเพิ่มขึ้นครั้งนี้ เป็นไปเพื่อรักษาระดับสภาพคล่องให้มีเสถียรภาพ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากการอัดฉีดเงินวันละ 2 พันล้านหยวน นับตั้งแต่ที่มีการอัดฉีดล่าสุดในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน การตัดสินใจล่าสุดของ PBOC ยังถือเป็นการกลับมาอัดฉีดผ่านข้อตกลง Reverse Repo 14 วันเป็นครั้งแรกของ PBOC นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นอกจากอัดฉีดเงินเพิ่มขึ้นแล้ว PBOC ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo ระยะ 14 วันลง 0.10% จากเดิมที่ 2.25% มาอยู่ที่ 2.15%
ทั้งนี้ การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ของ PBOC ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำคัญบางส่วนของ PBOC ในเดือนสิงหาคม ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo ระยะ 7 วันที่หวังฟื้นฟูอุปสงค์สินเชื่อและพยุงเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว
วันเดียวกัน ทางสถานีโทรทัศน์ CNN รายงานว่า นอกจากการเดินหน้าอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว จีนภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ยังเผชิญอีกหนึ่งความท้าทายลูกใหญ่ที่ต้องเร่งจัดการ นั่นคืออัตราการว่างงานของแรงงานหนุ่มสาวที่เพิ่งเรียนจบและกำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน
โดยตัวเลขระบุว่าปีนี้จะมีเด็กจบใหม่จีนก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.76 ล้านคน ในห้วงเวลาที่ภาคธุรกิจจีนยังคงอ่อนแอจากการระบาดของโควิด และไม่สามารถเปิดตำแหน่งงานรองรับแรงงานเหล่านี้ได้
ทั้งนี้ อัตราการว่างงานของเยาวชนจีนเพิ่งทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจาก 15.3% ในเดือนมีนาคมเป็น 18.2% ในเดือนเมษายน อีกทั้งยังคงไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งแตะ 19.9% ในเดือนกรกฎาคม แม้ว่าอัตราว่างงานจะลดลงเล็กน้อยเป็น 18.7% ในเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังคงสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หรือหมายความว่าขณะนี้มีคนประมาณ 20 ล้านคนที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปีในเมืองต่างๆ ไม่มีงานทำ โดยสถานีโทรทัศน์ CNN คำนวณจากตัวเลขเยาวชนว่างงานในเมืองจำนวน 107 ล้านคน ซึ่งยังไม่รวมเยาวชนในชนบท
Willy Lam เจ้าหน้าที่อาวุโสของมูลนิธิเจมส์ทาวน์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวว่า นี่เป็นวิกฤตการจ้างงานที่เลวร้ายที่สุดสำหรับคนหนุ่มสาวจีนในรอบกว่าสี่ทศวรรษ พร้อมชี้ว่า การว่างงานจำนวนมากเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะการจัดให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในหน้าที่การงาน เป็นกุญแจสู่ความชอบธรรมในการปกครองบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์การว่างงานยังมีแนวโน้มเลวร้ายรุนแรงมากขึ้น เมื่อภาคธุรกิจที่เคยเป็นดาวรุ่งอย่างเทคโนโลยีก็มีปัญหาในเชิงรายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยักษ์ใหญ่ชั้นนำอย่าง Alibaba มีรายได้ลดลง ทั้งยังมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทปลดคนงานออกแล้วกว่า 13,000 คน
บรรดานักวิเคราะห์มองว่า สถานการณ์ในบริษัทเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ กระนั้นก็ยังมีนักวิเคราะห์อีกกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า ธุรกิจจีนจะสามารถปรับตัวและกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เพราะธุรกิจเทคโนโลยีจีนในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวให้โตเพื่อความอยู่รอด ไม่เช่นนั้นก็ต้องล้มหายตายจากไป
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/09/19/china-central-bank-cuts-14-day-reverse-repo-rate-steps-up-cash-injections.html
- https://edition.cnn.com/2022/09/19/economy/china-youth-jobs-crisis-xi-jinping-intl-hnk-mic/index.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP