Q: หนูรู้สึกว่าวัฒนธรรมองค์กรในที่ทำงานของหนูไม่เข้ากับตัวหนูเลย หนูควรทำตัวอย่างไรดีคะ
A: พี่มาบอกความจริงอย่างหนึ่งไว้ก่อนว่า ไม่มีบริษัทไหนที่สมบูรณ์แบบครับ ทุกบริษัทมีปัญหาหมด แต่ปัญหาแบบไหนก็อาจจะต่างกัน เหมือนมีแฟนน่ะครับ บางอย่างก็ไม่ได้ถูกใจเราไปหมดหรอก คบกับคนที่เราติ๊กถูกทุกข้อก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่เจอปัญหา
ต่อให้ตัวเราตั้งบริษัทขึ้นมาด้วยตัวเอง และอยากให้มันเป็นแบบที่เราอยากให้เป็นทุกอย่าง เราก็จะไม่ได้ ‘ทุกอย่าง’ หรอกครับ เพราะเราไม่ได้อยู่ในองค์กรคนเดียว การจะขับเคลื่อนองค์กรได้เกิดจากการมีคนอื่นๆ มาร่วมขับเคลื่อนไปกับเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่อง ‘คน’ แล้ว ไม่มีทางที่เราจะได้คนที่ทำทุกอย่างถูกใจเราไปเสียหมด ต่างคนต่างที่มา
ที่สำคัญ การจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดขึ้นและสามารถดำรงอยู่อย่างแข็งแรงได้นั้นต้องใช้เวลา ไม่ใช่เปลี่ยนได้ชั่วข้ามวันไปหมด วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องของการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการยอมรับของคนในองค์กรจนปฏิบัติต่อกันมา เพราะฉะนั้น บางอย่างเราต้องใช้เวลาให้คนในองค์กรปรับตัว ค่อยๆ ฝึกฝนลงมือทำ เห็นผลลัพธ์ และลงมือทำใหม่ซ้ำๆ
อย่างที่พี่บอกครับว่า ไม่มีบริษัทไหนสมบูรณ์แบบ ทุกบริษัทมีปัญหา แต่วัฒนธรรมองค์กรอย่างหนึ่งที่องค์กรจะอยู่รอดได้ในโลกนี้ก็คือ การเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นได้จากการลงมือแก้ไข
ถ้าองค์กรมีวัฒนธรรมของการไม่หยุดพัฒนาตัวเองและคอยปรับตัวอยู่เสมอ พี่เชื่อว่า ต่อให้ในบริษัทเรามีเรื่องที่เป็นปัญหา แต่ด้วยความเชื่อว่า เฮ้ย! แต่มันต้องดีขึ้นได้สิ เรามาแก้ปัญหานี้กัน! บริษัทนั้นก็น่าจะยังไม่ถึงทางตัน แต่ถ้าองค์กรไม่ได้มีความเชื่อนี้ หรือมีความเชื่อนี้ แต่ไม่เคยลงมือแก้ไขจริงจัง ดีแต่พูด พี่ก็คงสวัสดี ลาก่อน! เราอยากแก้ไข แต่บริษัทไม่อยากแก้ไข ก็ไปด้วยกันไม่ได้
พี่คิดอย่างหนึ่งนะครับว่า เพราะทุกบริษัทมีปัญหานั่นแหละ เขาถึงต้องการเรามาเปลี่ยนแปลงไงครับ เขาจ้างเรามาเพื่อบอกว่า องค์กรนี้มีปัญหาอะไรอยู่ และมันจะดีขึ้นได้อย่างไร
บริษัทที่น่าสงสารก็คือบริษัทที่จ้างพนักงานมา แต่ดันไม่ฟังเขาว่าเขามองเห็นปัญหาอะไร (เออ! แล้วจ้างเขามาทำไมล่ะ) กับบริษัทที่พนักงานเจอปัญหาแล้วไม่ลงมือแก้ ปล่อยผ่านไป เพราะดันมองไม่ออกว่าบริษัทจ้างพนักงานเพื่อมาแก้ปัญหานั่นแหละ (เออ! แล้วจะมาทำงานทำไมล่ะนั่น)
ถามกลับไปที่ตัวน้องก่อนว่า องค์กรของน้องมีความเชื่อไหมว่า ทุกปัญหาแก้ไขได้ เชื่ออย่างเดียวไม่พอ มีการลงมือแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมไหม ถ้าเชื่อแบบนี้และลงมือทำอยู่จริง พี่คิดว่าเสียงของน้องก็เป็นประโยชน์สำหรับองค์กรนะครับ ถ้าน้องจะสะท้อนไปว่า น้องเห็นองค์กรมีปัญหาอะไร และน้องอยากให้องค์กรเป็นแบบไหน คิดไปไกลกว่านั้น ลองถามตัวเองว่า น้องจะมีส่วนแก้ไขปัญหาวัฒนธรรมองค์กรอย่างไรได้หรือเปล่า
พี่อยากให้น้องลองบอกหัวหน้าหรือบอกหน่วยงานที่รับฟังปัญหาของพนักงานว่าน้องคิดว่าอะไรไม่เวิร์กก่อน อย่างน้อยที่สุด พี่คิดว่า วัฒนธรรมการกล้าแสดงความคิดเห็นและวัฒนธรรมการเปิดใจรับฟังมันต้องมีในองค์กรที่ดีเป็นพื้นฐานนะครับ แต่ถ้าองค์กรไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่รู้จะบอกไปทำไมนะ พี่เข้าใจ ฮ่าๆ
ถ้าบอกแล้วไม่มีสัญญาณตอบกลับ อย่างน้อยเราได้ลองบอกปัญหาแล้ว แต่เขาไม่แก้ เราค่อยมาคิดต่อว่า องค์กรที่เป็นแบบนี้เหมาะกับเราจริงไหม
สิ่งที่พี่จะบอกคือ การทำงานไม่ใช่แค่องค์กรเลือกเราทำงานนะครับ เราเองก็เป็นคนเลือกองค์กรเหมือนกัน เราเลือกซึ่งกันและกัน แน่นอน เราต้องดูว่าเราใช้ชีวิตในองค์กรนี้แล้วเราจะเติบโตไปด้วยกันได้แบบที่เรามีเป้าหมายหรือเปล่า วัฒนธรรมองค์กรมันเอื้อให้เราได้สร้างคุณค่าให้งานที่เราทำได้ไหม
โดยส่วนตัว พี่จะดูก่อนว่าวัฒนธรรมองค์กรที่มีอยู่เป็นวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราไหม ถ้าเป็นเรื่องที่ดี ต่อให้มันอาจจะไม่ตรงกับจริตพี่โดยตรง พี่จะลองปรับตัวดู อย่างน้อยถือว่าเราได้ลองเรียนรู้ไปในตัว ไม่มีหรอกที่เราจะไปอยู่ที่ไหนแล้วเราจะไม่ต้องปรับตัวเลย ขนาดอยู่ในครอบครัวเราเอง เรายังต้องปรับตัวเลย ว่าไหมครับ
ยิ่งถ้าเราเห็นว่ามันมีปัญหาอยู่ และเราเชื่อว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหานั้นได้ พี่จะลองเขยื้อนภูเขาลูกนี้ดู แน่นอนว่า มันเขยื้อนไม่ได้ตั้งแต่ทีแรก ถ้ามันง่ายมันคงแก้ไปนานแล้ว ฮ่าๆ แต่พี่จะแก้ปัญหาในขอบเขตที่พี่สามารถรับผิดชอบได้ก่อน ไม่ได้ไปเปลี่ยนทั้งองค์กรในทีเดียว แต่พี่จะเลือกเปลี่ยนทีละน้อยจากสิ่งใกล้ตัวหรืออยู่ในอำนาจของพี่ก่อน พี่ให้เวลาในการรอการเปลี่ยนแปลงนะ เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา แต่ก็รอนานไม่ได้นะ ฮ่าๆ
ที่สำคัญ พี่จะไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงโดยลำพัง มันจะพลังน้อย พี่จะหาแนวร่วม พี่จะหาคนที่เชื่อในสิ่งเดียวกับพี่ แล้วทำสิ่งนั้นไปด้วยกัน คือต่อให้สุดท้ายเราเปลี่ยนอะไรองค์กรไม่ได้อย่างใจเรา แต่เราจะได้เพื่อนที่โคตรดีเลย เพื่อนที่เชื่อสิ่งเดียวกับเรา เคมีเข้ากันได้ เผลอๆ วันหนึ่งอาจจะจับมือกันลาออกไปด้วยกัน แล้วไปสร้างการเปลี่ยนแปลงที่อื่นก็ได้
ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร แต่เริ่มจากกลุ่มคนเล็กๆ นี่แหละครับ พี่เชื่อว่า คงไม่ใช่น้องคนเดียวที่รู้สึกว่าองค์กรมีบางอย่างที่ไม่โอเคอยู่ จับมือกัน ทำสิ่งที่เชื่อไปด้วยกัน ค่อยๆ ขยายกลุ่ม ค่อยๆ ปรับตัวซึ่งกันและกัน เราอยากให้องค์กรเร็ว แต่ตอนนี้ยังวิ่งไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเดินเร็วก่อนได้ไหม แล้ววันหนึ่งคนเราพร้อมแล้วจะได้วิ่ง ถือเป็นการฝึกฝนซึ่งกันและกัน
ถ้าดูทรงแล้ว ลองได้พยายามแล้ว ลองปรับตัวแล้ว ลองแก้ไขแล้ว แต่วัฒนธรรมองค์กรมันมีปัญหาจริงๆ และมันใหญ่เกินกว่าที่ตัวเราจะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง พี่ก็เชื่อว่า โลกนี้ไม่ได้มีองค์กรแค่องค์กรเดียว โลกมันกว้างจะตาย ไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะกับเราดีกว่า
เมล็ดพันธุ์ที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไปอยู่ในดินที่ผิด ขาดน้ำ ขาดแสงแดด มันก็ไม่โตมาเป็นต้นไม้ที่มีคุณค่าหรอกครับ
ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล