จากการระบาดของโควิดทั่วโลกทำให้การดำเนินชีวิตและธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด บางธุรกิจไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือได้ก็ไม่เต็มที่ แต่บางธุรกิจก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับ New Normal ได้ โดยเริ่มใช้เทคโนโลยีมาประกอบกับการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ทำให้สามารถประคองธุรกิจหรือสามารถขยายธุรกิจได้ ซึ่งการที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปนั้น ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องทำการปรับตัวมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานมาเป็นการทำงานแบบ Work from Home ช่วยทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งด้านการสื่อสารแบบ 5G อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน และแนวโน้มการใช้ Cloud Service มากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจที่เป็นแบบ Digitalization ก็มีเพิ่มมากขึ้นในหลายอุตสาหกรรม เช่น Financial Service, E-Commerce หรือ Digital Payment ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ตามมาหลายอย่างด้วยกัน เช่น แพลตฟอร์มในการซื้อกองทุนต่างๆ เพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น หรือพฤติกรรมการบริโภค Shopping Online มากขึ้น
สำหรับในตลาดหุ้นไทยนั้นก็นับว่ามีหุ้นหลายกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่น กลุ่มสื่อสารที่ได้รับประโยชน์จากการที่มีการใช้ข้อมูลมากขึ้นจากทั้งการทำงานที่บ้าน โดยต้องพึ่งพาการประชุมออนไลน์มากขึ้น แนวโน้มในหลายอุตสาหกรรมที่ต้องใช้การสื่อสารแบบ 5G มากขึ้น รวมถึงกลุ่มขนส่งและกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับประโยชน์จากกการที่ผู้บริโภคมีการซื้อของออนไลน์มากขึ้น ทั้งการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันขายสินค้า และการสั่งซื้ออาหารแบบเดลิเวอรี ซึ่งการจัดส่งสินค้าและการใช้กล่องบรรจุสินค้ามีแนวโน้มถูกใช้มากขึ้นในอนาคต แม้กระทั่งกลุ่มร้านค้าอุปกรณ์ไอทีได้รับประโยชน์จากการที่หลายธุรกิจให้พนักงานทำงานที่บ้านมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่ในอนาคตมีโอกาสที่หลายประเทศจะนำมาใช้มากขึ้น ก็คือการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ถึงแม้ว่าแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น แม้จะเป็นสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ในปัจจุบัน แต่การที่ประเทศไทยเริ่มมีการตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของยอดผลิตรถยนต์ภายในประเทศภายในปี 2030 ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ในประเทศเริ่มมีความร่วมมือกับบริษัทในต่างประเทศมากขึ้นในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงการพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เริ่มมีการพัฒนาแบตเตอรี่ มีการจัดตั้ง EV Charging Station รวมทั้งมีการจัดหาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวของกับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตน้อยกว่าประเทศอื่น แต่แนวโน้มในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้งจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศภายหลังการคลายล็อกดาวน์ การส่งออกที่ขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก การลงทุนของภาครัฐ และการเริ่มรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตอีกครั้ง
แต่สำหรับภาคการท่องเที่ยวนั้นคงเป็นลักษณะการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคนไทยจะเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้จากโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ผ่านมาที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีพอสมควร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตาม ได้แก่ โอกาสที่เกิดการระบาดโควิดภายหลังการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งเห็นได้จากในหลายประเทศถึงแม้ว่าประชาชนในประเทศรับวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสที่เกิดการระบาดรอบใหม่ได้อีกครั้ง รวมถึงการกลายพันธุ์ของโควิด การดำเนินนโยบายทางการเงินของ Fed ซึ่งมีโอกาสที่จะดำเนินนโยบายลด QE ได้ในปีนี้ และการเมืองในประเทศ
สำหรับตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากการที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีการเติบโตอยู่ โดยคาดว่าในปี 2022 ทุกอุตสาหกรรมจะมีการเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มไฟแนนซ์ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น ถึงแม้ว่ากำไรโดยรวมของตลาดหุ้นไทยจะมีการเติบโตไม่มากนัก เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่ในกลุ่ม Old Economy ซึ่งมักจะมีการเติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร แต่ข้อดีของกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มักจะมีการจ่ายเงินปันผลสูง ทำให้ตลาดหุ้นมีจุดเด่นคือมีการจ่ายเงินปันผลสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคนี้ที่มีการจ่ายเงินปันผลต่ำกว่า
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มมีการลงทุนในเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เราจะเห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายบริษัทปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับ New Normal มากขึ้น หรือใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทเหล่านี้จะมีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น มีการเติบโตที่สูง และหากในตลาดหลักทรัพย์มีบริษัทเหล่านี้มากขึ้นก็จะทำให้แนวโน้มส่วนประกอบของตลาดหุ้นไทยมีการกระจายตัวไปยังธุรกิจแบบ New Economy มากขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถซื้อขายใน Valuation ที่สูงขึ้นได้ และส่งผลให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนหุ้นไทยนั้น บลจ.ไทยพาณิชย์ ขอนำเสนอกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดจ่ายเงินปันผล) (SCB Selects Equity Fund: SCBSE) กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach ด้วยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดและสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูง
นอกจากนี้บริษัทยังได้เปิดให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนใน Share Class อื่นเพิ่มเติม ได้แก่ SCBSEA (ชนิดสะสมมูลค่า), SCBSEP (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล) โดยทั้งสองกองทุนจัดเป็นกองทุน 4 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) และสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี บริษัทก็ได้นำเสนอ SCBSE-SSF (ชนิดเพื่อการออม) เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนด้วยเช่นกัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP