โลกกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 เมื่อเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่คือสนามรบเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองขั้วมหาอำนาจของโลกอย่าง “สหรัฐฯ และจีน”
ข้อมูลจากทีม Global Investing หลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า ในปี 2025 เราได้เห็นสองเหตุการณ์ที่สะท้อนท่าทีของแต่ละประเทศได้อย่างชัดเจน สำหรับฝั่งจีน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ สี จิ้นผิง เปิดการประชุมใหญ่กับผู้นำเอกชนและเทคโนโลยี โดยมีทั้งผู้ก่อตั้ง Huawei, BYD, Xiaomi และสตาร์ทอัพป AI อย่าง DeepSeek เข้าร่วม พร้อมการปรากฏตัวของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่หายไปนานในช่วงจัดระเบียบบริษัทเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าการประชุมครั้งนั้นอาจไม่ได้มีนโยบายใหม่ที่เป็นรูปธรรมมากนัก แต่ถือว่าเป็นการส่งสารเชิงสัญลักษณ์ว่าจีนกำลัง “ปิดฉาก” ยุคการควบคุมเข้มงวด และเข้าสู่ช่วง “การฟื้นฟู” สนับสนุนให้ภาคเอกชนกลับมาเป็นเสาหลักของประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
สิ่งที่แฝงอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เพียงการเรียกร้องความร่วมมือ แต่คือการยอมรับว่า จีนไม่สามารถพึ่งพาเครื่องยนต์เดิมอย่างอสังหาริมทรัพย์หรือการลงทุนภาครัฐได้อีกต่อไป หากต้องหันมาสร้างรากฐานใหม่ที่วางอยู่บนเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและประชาชนคือโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งกอบกู้ การให้ Jack Ma กลับเข้าสู่เวทีสาธารณะจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการแสดงออกว่ารัฐบาลต้องการพลิกบทบาทเอกชนจากผู้ถูกควบคุม มาเป็นพลังหลักในการแข่งขันระดับโลก
เพียงไม่กี่เดือนถัดมา ในช่วงต้นเดือนกันยายน ฝั่งสหรัฐฯ ก็มีภาพสะท้อนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดดินเนอร์หรูที่ทำเนียบขาว เชิญผู้นำ Big Tech ระดับโลก ตั้งแต่ Mark Zuckerberg แห่ง Facebook, Tim Cook แห่ง Apple, Bill Gates แห่ง Microsoft, Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google, Sam Altman แห่ง OpenAI ไปจนถึง Safra Catz CEO ของ Oracle มานั่งร่วมโต๊ะ อาหารค่ำครั้งนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศเป็นกันเองและการยืนยันร่วมกันว่าประเทศจะต้องรักษาตำแหน่งผู้นำด้าน AI และนวัตกรรมโลกเอาไว้
แม้ทั้งสองเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในบรรยากาศที่แตกต่าง จีนเลือกเวทีการประชุมที่เป็นทางการ ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ดินเนอร์อันหรูหรา แต่สารที่ส่งออกมากลับไม่ต่างกันมากนัก เพราะทั้งสองต่างตระหนักว่า “เทคโนโลยี” คือหัวใจในการกำหนดอำนาจของชาติในศตวรรษนี้ สิ่งที่ต่างออกไปคือวิธีการเล่าเรื่องและโครงสร้างของอำนาจที่หนุนอยู่เบื้องหลัง
จีนเลือกใช้การขับเคลื่อนจาก “บนลงล่าง” รัฐบาลชี้เป้าหมาย กำหนดทิศทาง แล้วดึงเอกชนเข้ามาเป็นฟันเฟืองเชิงยุทธศาสตร์ โดยไม่ปล่อยให้เดินนอกกรอบ แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายามของจีนในการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางแรงกดดันจากการชะลอตัวภายในและการถูกกีดกันทางเทคโนโลยีจากภายนอก
ในอีกด้าน สหรัฐฯ วางตัวต่างออกไป รัฐบาลเปิดเวทีให้ Big Tech “ร่วมกัน” กำหนดอนาคต แนวทางนี้ทำให้ Big Tech ของอเมริกาสามารถเติบโตอย่างอิสระและก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกได้ แต่ก็มีความท้าทายตรงที่รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์กับบรรดาบริษัทเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพราะอำนาจของกลุ่ม Big Tech นั้น อาจใหญ่เกินกว่าจะละเลย
เมื่อนำสองภาพนี้มาวางคู่กัน จะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ทั้งสองประเทศกำลังทำคือการ “จัดทัพ” เพื่อศึกยาวในอนาคต เพราะเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจที่สร้างกำไร หากแต่เป็นหัวใจของทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองระหว่างประเทศ จีนรู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะตัดสินว่า ประเทศจะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้หรือไม่? สหรัฐฯ เองก็รู้ว่าหากเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีไป ตำแหน่งมหาอำนาจโลกจะสั่นคลอนทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดทุนปีนี้สะท้อนภาพได้ชัดเจน ดัชนี Nasdaq 100 ของสหรัฐฯ ซึ่งสะท้อนผ่าน “DR NDX01” ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงบนพื้นฐานของบริษัทที่ครองความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก ทั้ง AI คลาวด์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล แม้ผลตอบแทนในรูปเงินบาทจะดูต่ำกว่าฝั่งจีน แต่ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ในสกุลเงินดอลลาร์ ดัชนี Nasdaq 100 ยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ได้
ด้านจีน “CNTECH01” ซึ่งอ้างอิงกับดัชนี Hang Seng TECH ที่รวมบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน และ “STAR5001” ซึ่งอ้างอิงกับดัชนี STAR 50 ที่สะท้อนกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงในตลาด A-share ต่างปรับตัวขึ้นแรงกว่าสหรัฐฯ แรงหนุนสำคัญมาจากสัญญาณเชิงนโยบายที่รัฐบาลส่งออกมาตลอดปี โดยเฉพาะการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ที่สะท้อนความตั้งใจฟื้นบทบาทภาคเอกชนให้กลับมาเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยสร้างแรงส่งความเชื่อมั่นจนสะท้อนในราคาหุ้นอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะมองว่าฝั่งใดจะเป็นผู้กุมบังเหียนในศตวรรษที่ 21 สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ “เทคโนโลยี” ได้กลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของทั้งสองขั้วมหาอำนาจ นักลงทุนจึงอาจไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง หากแต่สามารถใช้โอกาสนี้เกาะไปกับการเติบโตระยะยาวของทั้งสองจักรวาลได้อย่างสะดวกผ่านตลาดหุ้นไทย ไม่ว่าจะเป็น NDX01 ที่สะท้อนพลังของ Big Tech สหรัฐฯ หรือ CNTECH01 และ STAR5001 ที่สะท้อนแรงส่งจากการสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน ทั้งหมดล้วนเป็นประตูสู่อนาคตที่เทคโนโลยีคือหัวใจของโลกเศรษฐกิจใหม่
กราฟแสดงผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีของ CNTECH01 STAR5001 และ NDX01
ที่มา: BLS Global Investing, Bloomberg ณ วันที่ 12 กันยายน 2568
ภาพ: da-kuk/Getty Images