Snow White ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันเรื่องล่าสุดจาก Disney ที่ดัดแปลงมาจากแอนิเมชันเจ้าหญิง Disney สุดคลาสสิกอย่าง Snow White and the Seven Dwarfs (1937) โดยได้ Marc Webb เจ้าของผลงาน 500 Days of Summer (2009) และ The Amazing Spider-Man ทั้งสองภาคมานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วย Rachel Zegler จาก West Side Story (2021) มารับบทเป็นเจ้าหญิง Snow White และ Gal Gadot จาก Wonder Woman (2017) มารับบทเป็น Evil Queen
สำหรับเนื้อหาในฉบับนี้จะว่าด้วยเรื่องราวของ Snow White เจ้าหญิงจิตใจดีที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรที่เงียบสงบ กระทั่งวันหนึ่ง Evil Queen ก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อเข้ายึดครองอาณาจักรไว้เป็นของตัวเอง พร้อมวางแผนที่จะสังหารเจ้าหญิงลงเพื่อให้ตัวเองได้เป็นผู้ที่งามเลิศในปฐพี Snow White จึงต้องหลบหนีเข้าไปในป่าลึกจนได้มาเจอกับคนแคระทั้ง 7 เรื่องราวการเผชิญหน้ากับ Evil Queen เพื่อกอบกู้อาณาจักรที่สงบสุขกลับคืนมาจึงเริ่มต้นขึ้น
Snow White ถือเป็นภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันจาก Disney ที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากมายตั้งแต่ประกาศสร้าง เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดง Rachel Zegler มารับบทเป็น Snow White ที่หลายเสียงบอกว่าดูจะไม่เหมาะสมกับบทบาทนี้เท่าไรนัก การออกมาตอบโต้เสียงวิจารณ์ของตัวนักแสดงเอง ไปจนถึงภาพเบื้องหลังและภาพนิ่งต่างๆ ที่หลุดออกมาก็ถูกผู้ชมบางส่วนวิจารณ์ว่ามีการปรับเปลี่ยนจากต้นฉบับมากเกินไป
กระทั่งตัวอย่างฉบับเต็มถูกปล่อยออกมาก็ทำให้เราได้เห็นภาพรวมคร่าวๆ มากขึ้น ทั้งเนื้อเรื่องที่ถูกปรับเปลี่ยน การออกแบบฉากและตัวละครคนแคระทั้งเจ็ด การเปิดตัวเพลงใหม่อย่าง Waiting On A Wish ไปจนถึงความคิดเห็นของผู้ชมกลุ่มแรกที่กล่าวชื่นชมการแสดงของ Rachel Zegler ก็ค่อยๆ ทำให้ตัวภาพยนตร์ดูน่าติดตามขึ้นอีกนิดว่าเรื่องราวของ Snow White ฉบับนี้จะออกมาเป็นอย่างไร และจะสามารถพิสูจน์ตัวเองเพื่อเอาชนะใจผู้ชมได้หรือไม่
สำหรับผู้เขียน Snow White มีการปรับเปลี่ยนและขยับขยายเนื้อเรื่องจากเวอร์ชันต้นฉบับได้ ‘ไม่แย่’ เลย เริ่มตั้งแต่การเพิ่มเรื่องราวต้นกำเนิดของ Snow White ขึ้นใหม่ ให้เรารู้จักภูมิหลังเพิ่มเติมว่าชื่อ Snow White มีที่มาอย่างไร (ซึ่งเราได้ชมไปแล้วในตัวอย่าง) หรือจะเป็นประวัติความเป็นมาของอาณาจักรที่เธออาศัยอยู่ การเพิ่มที่มาที่ไปของตัวละคร Evil Queen ให้มีความชัดเจนและสมเหตุสมผลขึ้น การปรับคาแรกเตอร์ของคนแคระทั้งเจ็ดให้มีมิติมากขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างความขบขันเพียงอย่างเดียวเหมือนกับเวอร์ชันต้นฉบับ ไปจนถึงเป้าหมายของ Snow White ที่ต้องการกอบกู้อาณาจักรคืนก็ทำให้เส้นเรื่องหลักของภาพยนตร์มีความสมเหตุสมผลและน่าติดตามมากขึ้น
แต่การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวผู้กำกับและทีมสร้างจะไม่ได้สนใจความคลาสสิกของต้นฉบับเลย เราจะเห็นว่าทีมสร้างพยายามจะ ‘รักษา’ ความคลาสสิกที่เป็นภาพจำของผู้ชมไว้ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน เพียงแต่ฉากจำเหล่านั้นอาจจะถูกปรับ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้ดูเหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่ตีความขึ้นใหม่ ทั้งฉากเพลง Heigh-Ho ของคนแคระทั้งเจ็ดที่ถูกเสริมให้ดูอลังการมากขึ้น หรือฉากมอบลูกแอปเปิ้ลอาบยาพิษที่ถูกเพิ่มเนื้อเรื่องให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น
และเราขอยืนยันอีกเสียงว่าการแสดงของ Rachel Zegler ในบท Snow White นั่นคือจุดเด่นที่เราชื่นชอบมากที่สุด หากใครที่มีโอกาสได้ชมผลงานก่อนหน้าของเธออย่าง West Side Story (2021) และ The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes (2023) ก็น่าจะได้สัมผัสกับบทเพลงอันไพเราะของเธอกันไปบ้างแล้ว ซึ่งคราวนี้ Rachel Zegler ก็ยังคงทำให้เราทึ่งกับการถ่ายทอดบทเพลงและเรื่องราวของ Snow White ทั้งความสนุกสนาน อ่อนโยน และความมุ่งมั่นออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ โดยเฉพาะฉากเพลง Whistle While You Work ที่ส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Snow White and the Seven Dwarfs ฉบับปี 1937 จะเป็นผลงานชิ้นสำคัญของ Walt Disney กับการเป็นแอนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ พร้อมทั้งยังเป็นผลงานที่ผลักดันให้การสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน ณ ช่วงเวลานั้นพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหาของเวอร์ชันต้นฉบับนั้นค่อนข้างเรียบง่าย มิติตัวละครไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก
ดังนั้นการที่ตัวผู้กำกับและทีมสร้างต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาของฉบับไลฟ์แอ็กชันให้ร่วมสมัยไปพร้อมกับรักษาความคลาสสิกของเวอร์ชันต้นฉบับไว้ไปพร้อมกัน มันจึงทำให้บางช่วงของภาพยนตร์นั้นดูเรียบง่ายและตรงไปตรงมาพอสมควร ทั้งอุปสรรคระหว่างทางของ Snow White ที่ถูกคลี่คลายลงอย่างง่ายดายเกินไป หรือจะเป็นฉากการเผชิญหน้ากันระหว่าง Snow White และ Evil Queen ในช่วงท้ายเรื่องที่ดูไม่มีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องเท่าไรนัก เน้นเล่าด้วยบทสนทนาที่ตรงไปตรงมา มากกว่าจะเป็นการดำเนินเรื่องด้วยสถานการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกลุ้นและอยากเอาใจช่วยตัวละคร
โดยข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่เราแอบติดขัดพอสมควรคือบทบาทของ Jonathan (Andrew Burnap) เราชื่นชอบการตีความใหม่ของทีมสร้างที่ปรับจากเจ้าชายขี่ม้าขาวไร้มิติ มาเป็นโจรหนุ่มที่คอยช่วยเหลือเจ้าหญิงเพื่อกอบกู้อาณาจักร แต่อย่างที่เรากล่าวไปก่อนหน้าว่าอุปสรรคต่างๆ ที่ Snow White ต้องเผชิญนั้นไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันดู ‘อันตราย’ แถมยังถูกคลี่คลายลงอย่างง่ายดายและรวดเร็ว มันจึงส่งผลให้บทบาทของ Jonathan ถูกลดทอนลง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Snow White ยังไม่สามารถเอาชนะใจเราได้อย่างที่ตัวภาพยนตร์ต้องการนำเสนอ
อีกหนึ่งตัวละครที่เราคิดว่าไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นนักเห็นจะเป็น Evil Queen ที่รับบทโดย Gal Gadot แม้เธอจะเหมาะสมกับบทบาท Evil Queen มาก โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่ Gal Gadot นำเสนอความงามและน่าเกรงขามของ Evil Queen ได้ดี เสื้อผ้าหน้าผมที่เสริมให้ตัวละครโดดเด่นขึ้น แต่ตัวเนื้อเรื่องโดยรวมกลับไม่ได้ส่งให้บทของเธอเฉิดฉายเท่าใดนักเมื่อเทียบกับตัวร้ายคนอื่นๆ ของเจ้าหญิง Disney ฉบับไลฟ์แอ็กชันเรื่องก่อนๆ
ในภาพรวม Snow White ฉบับไลฟ์แอ็กชันครั้งนี้เป็นผลงานที่ส่วนตัวของผู้เขียนค่อนข้างสนุกไปกับเรื่องราวที่ภาพยนตร์นำเสนอพอสมควร ตัวภาพยนตร์มีการปรับเปลี่ยนและขยับขยายเรื่องราวหลายส่วนให้มีมิติและน่าติดตามมากขึ้น บทเพลงต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่าง Waiting on a Wish, Good Things Grow, All Is Fair ก็ไพเราะและช่วยเสริมให้เรื่องราวของตัวละครน่าสนใจมากขึ้น รวมไปถึงการแสดงของ Rachel Zegler ที่ถ่ายทอดบทบาทเจ้าหญิง Snow White ออกมาได้อย่างมีเสน่ห์
ขณะเดียวกันตัวภาพยนตร์ก็มีข้อสังเกตในแง่ของการนำเสนอที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา รวมถึงการสร้างอุปสรรคต่างๆ ที่ถูกคลี่คลายง่ายจนเกินไป โดยเฉพาะเนื้อหาในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่ไม่สามารถสื่อสารประเด็นหลักที่ตัวภาพยนตร์ต้องการนำเสนอให้เรารู้สึกประทับใจได้อย่างที่ควรจะเป็น
Snow White มีกำหนดฉาย 20 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่: www.youtube.com/watch?v=_SAUjuvjuDM
ภาพ: Disney