×

โคดี้ โรดส์ จากนักมวยปล้ำธรรมดา สู่แชมป์-ผู้นำของ WWE ยุคใหม่

09.04.2024
  • LOADING...
โคดี้ โรดส์

ย้อนกลับไปสัก 17 ปีก่อน ถ้ามีใครบอกคุณว่า “เฮ้ เชื่อผมไหม ไอเด็กหนุ่มที่นุ่งกางเกงเขียวที่เดินออกมาจากสเตจพร้อมตำนานนักมวยปล้ำผู้เป็นพ่ออย่าง ดัสตี้ โรดส์ จะเป็นนักมวยปล้ำเบอร์ 1 ของสมาคมฯ ในปี 2024”

 

ฟังแล้วก็ดูจะ…เชื่อได้ยากหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพราะคุณสามารถดูตัวอย่างจาก จอห์น ซีนา ได้เลย ในวันเปิดตัวก็เป็นประมาณนี้ เด็กหัวเกรียนที่เดินดุ่มๆ มาเผชิญหน้า เคิร์ต แองเกิล ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ก็เป็นตำนานของ WWE ได้ในปัจจุบัน

 

แต่กับ โคดี้ โรดส์ ชีวิตเขาไม่ได้มีเส้นทางใน WWE ที่ดีในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนซีนาหรือนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ 

 

โคดี้อาจมีชีวิตที่น่าพอใจใน WWE เขาประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยการมีแมตช์ใน WrestleMania เป็นแชมป์ Intercontinental และเป็นแชมป์แท็กทีม 

 

แต่ในระยะยาวเขาไม่มีทรงและคาริสม่ามากพอที่จะทำให้ WWE มองเขาเป็นหน้าตาของสมาคมมวยปล้ำในยุคปัจจุบันเลย 

 

นั่นมันเป็นอุปสรรคต่อความฝันเขาที่จะนำแชมป์โลกในสมาคมฯ WWE มาสู่ตระกูลของเขา แชมป์-เกียรติยศที่แม้แต่ผู้เป็นพ่อก็ยังไม่เคยได้สัมผัส

 

จากระยะทางในอาชีพมวยปล้ำเกือบ 20 ปี โคดี้ผ่านรสชาติของชีวิตมาแล้วหลายอย่าง จนในที่สุดเขาก็สามารถ Finish the Story ของเขาได้เสียที

 

Story ที่ไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1-2 ปี แต่มันคือ Story แห่งชีวิตที่ใช้เวลาร่วม 20 ปี (หรือมากกว่านั้น) ในการเปลี่ยน โคดี้ โรดส์ จากนักมวยปล้ำธรรมดา สู่ The American Nightmare ที่แฟนๆ พร้อมส่งเสียงเชียร์ในฐานะนักมวยปล้ำและผู้นำของ WWE ยุคใหม่!

 

 

Walk with Dusty Rhodes

 

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2007 โคดี้ โรดส์ เปิดตัวขึ้นปล้ำแมตช์แรกอย่างเป็นทางการกับ แรนดี้ ออตัน ด้วยการได้ ดัสตี้ โรดส์ ผู้เป็นพ่อ มายืนเป็นกำลังใจอยู่ข้างเวที

 

แมตช์นั้นจบลงด้วยเวลาอันสั้น โคดี้พ่ายให้กับออตัน ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ของ WWE ในยุคนั้นแบบสิ้นสภาพ ก่อนจะมีการต่อเนื้อเรื่องในบทบาทไปอีกระยะ ซึ่งเป็นความบาดหมางของดัสตี้กับออตันที่รันวงการกับกิมมิก The Legend Killer

 

หลังจากนั้นโคดี้เริ่มต้นอาชีพนักมวยปล้ำของเขากับ WWE อย่างเป็นทางการ โดยในช่วงแรกมีดัสตี้ที่คอยพาเขาไปฝากฝังกับนักมวยปล้ำตำนานและมีชื่อเสียงในยุคนั้น ก่อนจะเริ่มออกเดินทางผจญภัยด้วยตัวเอง

 

ความสำเร็จแรกของเขาคือการคว้าแชมป์โลกแท็กทีมคู่กับยอดฝีมืออย่าง ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี ด้วยการเอาชนะ แลนซ์ เคด และ เทรเวอร์ เมอร์ดอช ในคืนฉลองครบรอบ 15 ปีของศึก RAW

 

 

จุดเปลี่ยนสำคัญ บทบาทที่เล่นใหญ่ขึ้น

 

หลังจากครองแชมป์แท็กทีมคู่กับ ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี มานานกว่า 202 วัน ในที่สุดจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตนักมวยปล้ำของเขาก็มาถึง

 

นั่นคือการเปลี่ยนบทจากฝั่ง ‘ธรรมะ’ สู่ ‘อธรรม’ ครั้งแรกในชีวิต

 

ในศึก Night of Champions 2008 โคดี้หักหลังฮาร์ดคอร์ ด้วยการหันไปร่วมมือกับ เท็ด ดีบีอาซี จูเนียร์ (ลูกชาย เท็ด ดีบีอาซี) ในแมตช์ชิงแชมป์แท็กทีม ซึ่งเขาเสียและได้แชมป์แท็กทีมคืนมาในคืนเดียวกัน แต่เปลี่ยนคู่หูจากฮาร์ดคอร์มาเป็น เท็ด ดีบีอาซี

 

หลังจากนั้นโคดี้ไปรวมกลุ่มกับ แรนดี้ ออตัน และ เท็ด ดีบีอาซี จูเนียร์ ในฐานะกลุ่ม Legacy ในบทบาทวายร้ายที่เป็นลิ่วล้อให้ออตันไปเล่นงานนักมวยปล้ำคนอื่นๆ ตามบทบาท

 

เนื้อเรื่องของเขากับ Legacy ดำเนินไปได้ดีสุดๆ เขากับ เท็ด ดีบีอาซี จูเนียร์ ถูกดันไปสานต่อเรื่องราวกับสองคู่หูระดับตำนานอย่าง D-Generation X (DX) ทริปเปิลเอช และ ชอว์น ไมเคิล ในปี 2009

 

จากนั้น Legacy ถูกวางบทให้แตกทีม โดยสิ่งนั้นทำให้เขาได้ขึ้นปล้ำในศึก WrestleMania 26 ในแมตช์ 3 เส้า ออตัน vs. โคดี้ vs. ดีบีอาซี จูเนียร์ ซึ่งเป็นแมเนียครั้งแรกในชีวิตของโคดี้ 

 

ถึงจะไม่ชนะ แต่ชีวิตหลังจากนั้นในรั้ว WWE เริ่มเติบโตจนถูกผลักดันให้ฉายเดี่ยวแบบจริงๆ จังๆ ครั้งแรก

 

 

กำเนิด ‘Dashing’ Cody Rhodes

 

โคดี้ถูกย้ายไปทำงานในศึก SmackDown ในช่วงปี 2010 เขาจัดการปรับลุค เปลี่ยนเพลงเปิดตัว หรือพูดง่ายๆ คือ สร้างโคดี้ขึ้นมาใหม่ในคอนเซปต์นักมวยปล้ำที่ดูดี ดูหล่อ ในลุค ‘Dashing’ โคดี้ โรดส์

 

แต่ถึงอย่างนั้นกิมมิกนี้ก็ดูจะไม่ได้หวือหวาอะไรสำหรับแฟนมวยปล้ำ เขาถูกส่งไปปล้ำรายการประจำสัปดาห์เรื่อยๆ จนไปจับคู่กับ ดรูว์ แม็กอินไทร์ และคว้าแชมป์แท็กทีมร่วมกันในศึก Night of Champions 2010

 

สุดท้ายทั้งคู่ครองแชมป์ได้แค่ 34 วันก่อนจะเสียแชมป์และแยกย้ายกันไปเติบโต

 

โคดี้ถูกผลักดันให้ฉายเดี่ยว (อีกครั้ง) คราวนี้มาจริง เขาไปถึงจุดที่มีเนื้อเรื่องที่พีคมากๆ ครั้งในหนึ่งในชีวิตร่วมกับ เรย์ มิสเตอริโอ นักมวยปล้ำหน้ากากสุดเท่ขวัญใจแฟนๆ

 

จากนักมวยปล้ำที่ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ทิศทางของชีวิต และถูกส่งให้ขึ้นปล้ำไปวันๆ โคดี้ได้รับโอกาสครั้งใหญ่ของชีวิตจาก เรย์ มิสเตอริโอ ทุกอย่างไม่ซับซ้อน เพียงเพราะเรย์ต้องการทำงานร่วมกับโคดี้ และทำแมตช์สนุกๆ สำหรับ WrestleMania 27 เท่านั้นเอง

 

สุดท้ายเรย์กับโคดี้ก็ออกไปสร้างแมตช์อย่างสร้างสรรค์และเร้าใจตามที่พวกเขาขอแอร์ไทม์จาก วินซ์ แม็กแมน ที่กุมบังเหียน WWE อยู่หลังฉากในเวลานั้น และทำให้แมตช์นี้กลายเป็นแมตช์สนุกอีกแมตช์ใน WrestleMania 27 

 

 

แชมป์ Intercontinental สมัยแรก

 

จากความสำเร็จที่ได้สร้างเรื่องราวกับเรย์ ทำให้โคดี้ไต่ระดับไปถึงแชมป์ Intercontinental สมัยแรก ด้วยการเอาชนะ เอเสเคียล แจ็กสัน ในเดือนสิงหาคม ปี 2011 และเปลี่ยนโฉมเข็มขัดให้กลับไปเป็นแบบในยุคคลาสสิก ซึ่งได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนๆ อยู่ไม่น้อย

 

โคดี้ฉายเดี่ยวกับแชมป์ Intercontinental อยู่แรมปี และทำงานร่วมกับนักมวยปล้ำชื่อดังอีกมากอย่าง บิ๊ก โชว์, บูเกอร์ ที, แรนดี้ ออนตัน (อีกครั้ง) ซึ่งมันดูดีสำหรับนักมวยปล้ำเดี่ยวที่กำลังได้โอกาสนี้ ในการต่อยอดความสำเร็จไปสู่แชมป์โลกของ WWE 

 

แต่ทุกอย่างไม่เคยง่ายสำหรับเขา

 

ลูปชีวิตที่ซ้ำซากของ โคดี้ โรดส์

 

ในฐานะแฟนมวยปล้ำที่ติดตามมวยปล้ำมาตลอดหลายสิบปี ผมไม่เคยเห็นโคดี้ไปได้ไกลกว่านี้

 

ภาพที่เห็นคือ เขายังวนเวียนปล้ำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และถูกยัดให้ไปจับคู่กับ เดเมียน แซนดาว ในชื่อ Rhodes Scholars ในห้วงปี 2012 ก่อนจะหักกันเอง และมีเนื้อเรื่องในเส้นเรื่องกับกระเป๋า Money in the Bank กระเป๋าที่ใช้สำหรับท้าชิงแชมป์โลก

 

แน่นอนว่าโคดี้ที่แฟนๆ เกรงว่าเขาจะได้กระเป๋าไปเป็นแชมป์โลกในอนาคตก็ไม่ได้มันไป แต่เป็นแซนดาวที่ได้รับไป (และใช้ชิงแชมป์ไม่สำเร็จในภายหลัง) 

 

นับจากนั้นบทบาทนักมวยปล้ำของโคดี้กับ WWE ก็ไม่มีอะไรให้หวือหวาไปมากกว่านี้

 

 

The Brotherhood

 

กราฟชีวิตเขาดีดขึ้นมาหน่อย หลังเข้าไปพัวพันกับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ของ WWE ในยุคที่ The Authority นำโดยทริปเปิลเอชที่พยายามใช้อำนาจควบคุมสมาคมฯ ในทางมิชอบ (ในบทบาทนะครับ ฮ่า)

 

โคดี้ถูกไล่ออกในบทบาท (แต่จริงๆ คือได้พักไปใช้ชีวิตส่วนตัว แต่งงานกับแบรนดี้ ภรรยาของเขา) 

 

หลังจากนั้นโคดี้จับมือกับพี่ชายของเขา ดัสติน โรดส์ หรือ โกลดัส กลับมาเล่นงานกลุ่ม The Shield ที่อยู่ใต้บัญชาของ The Authority และแน่นอนพวกเขารวมกันในนาม The Brotherhood สามารถปราบ The Shield คว้าแชมป์แท็กทีมร่วมกันอีกครั้งแบบประทับใจแฟนๆ มวยปล้ำ

 

และอย่างที่บอกไปครับ แม้ว่าเขาจะสร้างโมเมนต์ในวงการดีๆ กับ The Brotherhood พี่ชายและพ่อของเขา แต่ชีวิตใน WWE ของเขาไปไม่ไกลกว่านี้อีกแล้ว

 

โคดี้ถูกแปลงโฉมเปลี่ยนลุค เพนต์หน้าแต่งตัวกลายเป็น Stardust ที่ WWE พยายามทำให้กลายเป็นวายร้ายแบบการ์ตูนคอมิก ซึ่งท้ายที่สุดกิมมิกนี้ไม่รุ่งและไปไม่รอดในระยะยาว

 

 

Goodbye WWE, Welcome to New World

 

เขาตระหนักดีว่า อนาคตระยะยาวของตัวเองกับ WWE ไม่อาจไปได้ไกลดั่งฝัน นั่นคือการคว้าแชมป์โลก WWE ให้กับตระกูลโรดส์ 

 

โคดี้ที่ไม่พอใจในแผนงานระหว่างตัวเองกับ WWE บวกกับการที่ถูกเพิกเฉย หลังต้องการยุติกิมมิก Stardust แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากทีมงานเบื้องหลัง เขาตัดสินใจยื่นเรื่องขอให้สมาคมฯ ปล่อยตัวเขาออกไป 

 

โคดี้ออกนอกกรอบมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับที่เขาสูญเสียคุณพ่อ (ดัสตี้) ไปในปี 2016 เขาถือโอกาสหลังจากนั้นในการออกผจญภัยสู่โลกกว้าง

 

เขาตระเวนไปปล้ำตามสมาคมมวยปล้ำต่างๆ เยอะแยะ อย่างเช่น Independent Circuit, Ring of Honor (ROH), TNA, New Japan Pro-Wrestling และจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตก็คือ การถือกำเนิดกิมมิก The American Nightmare พร้อมเข้าร่วมกลุ่ม Bullet Club กลุ่มใน NJPW ที่รวมนักมวยปล้ำยอดฝีมือไว้มากมายในนั้น

 

The American Nightmare หรือโคดี้ เริ่มมีชื่อเสียงที่โด่งดังมากขึ้นในวงการมวยปล้ำระดับ Pro Wrestling เขาพัฒนาฝีไม้ลายมือได้เยอะขึ้นมาก เขาโชว์ทักษะต่างๆ ที่ไม่เคยทำให้เห็นใน WWE ออกมาให้แฟนๆ ได้เห็นว่าเขาคือคนที่มีของกว่าที่ WWE มองเห็น

 

ชีวิตของเขาเติบโตขึ้นทุกวัน จนได้โอกาสจับมือกับสหายอย่าง เคนนี โอเมกา, สองพี่น้องแมตต์ และ นิก แจ็กสัน รวมทั้งนายทุนใหญ่อย่าง โทนี่ ข่าน ก่อตั้งสมาคมมวยปล้ำ All Elite Wrestling (AEW) เพื่อมาตีตลาดมวยปล้ำอเมริกาแข่งกับ WWE โดยตรง

 

ที่แห่งนั้นโคดี้ได้ทำอะไรเยอะมาก ในฐานะผู้สร้างและผู้นำของ AEW เขาได้อภิสิทธิ์หลายอย่างบนสังเวียนแห่งนั้น ในการบุ๊กแมตช์ให้ตัวเองเป็นพระเอกของสมาคมฯ ได้สู้กับนักมวยปล้ำยอดฝีมืออีกมาก รวมไปถึงการเปิดตัวที่แฟนๆ แซวกันว่าเด่นเกินใคร เพราะเปิดตัวด้วยช่องทางพิเศษอยู่คนเดียว (จนแฟนๆ พากันหมั่นไส้อยู่ช่วงหนึ่ง)

 

วันเวลาผ่านไปเกือบ 4 ปีกับ AEW ดูเหมือนเขากับสถานที่แห่งนี้จะเดินทางมาถึงทางตัน เมื่อไม่สามารถทำข้อตกลงทางสัญญาฉบับใหม่ร่วมกันได้

 

การเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของ โคดี้ โรดส์ จึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

 

กลับสู่ WWE เพื่อ Finish the Story

 

ห้วงเวลาที่โคดี้หมดสัญญากับ AEW คือช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับที่ WWE กำลังมีศึก WrestleMania 38

 

ตามข่าวมีการคาดคะเนจากสื่อมวยปล้ำในอเมริกาว่า โคดี้จะกลับมาในศึกนี้แน่ๆ และ The American Nightmare ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อเขาหวนคืนสังเวียน WWE ในรอบ 6 ปี ด้วยการเอาชนะ เซ็ต โรลลินส์ ใน WrestleMania 38 คืนแรก

 

ความยิ่งใหญ่ในคืนนั้นคือจุดเริ่มต้นและแสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุดในชีวิตของเขากับ WWE

 

โคดี้กลับมายืนที่ WWE ในฐานะนักมวยปล้ำแนวหน้าของสมาคมฯ ด้วยออร่าที่เฉิดฉายกว่าครั้งไหนๆ และเข้าใกล้ความฝันด้วยการเป็นแชมป์โลก WWE คนแรกของตระกูลโรดส์ไปอีกก้าว

 

แม้จะมีช่วงที่กล้ามเนื้อฉีกขาดจนเจ็บไปหลายเดือน แต่เขาสามารถกลับมาเอาชนะ Royal Rumble 2023 เพื่อไปท้าชิงแชมป์กับ โรมัน เรนส์ ที่ครองแชมป์อยู่หลายปีและยิ่งใหญ่ไม่แพ้ไปกว่าเขา

 

ใน WrestleMania 39 โคดี้ทำแมตช์คู่กับโรมันในคอนเซปต์ Finish the Story เพื่อเป็นแชมป์โลกของ WWE อย่างที่เขาและครอบครัวฝันถึง

 

แต่แล้วเขาก็ทำไม่สำเร็จ ด้วยความเข้มข้นของเรื่องราวนี้ WWE ตัดสินใจให้โรมันเป็นฝ่ายชนะ และยืดเนื้อเรื่องนี้ออกไปอีก 1 ปี 

 

แต่โคดี้ยังไม่ยอมแพ้ เขาทำงานอย่างหนักภายใต้ WWE ตระเวนปล้ำรายสัปดาห์ ปล้ำตามรายการเล็กๆ น้อยๆ เขาทำให้ได้ทั้งหมด และของขวัญชิ้นใหญ่กลับมาถึงมือเขาอีกครั้ง เมื่อเขาได้เป็นผู้ชนะ Royal Rumble 2024 อีกครั้ง

 

ใครดูถึงตรงนี้ก็รู้ว่าเขาจะไปรีแมตช์กับโรมันเพื่อ Finish the Story

 

 

“We Want Cody” นี่คือเวลาของนายแล้วโคดี้!

 

จู่ๆ หลังศึก Royal Rumble 2024 ไม่ทราบว่า WWE นึกคึกอะไร ถึงได้เปลี่ยนคู่เอกใน WrestleMania 40 กลางคัน

 

WWE ดึง The Rock กลับมาปาดหน้าโคดี้เพื่อไปชิงแชมป์กับโรมันใน WrestleMania 40 แบบช็อกคนดู

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ WWE โดนแฟนๆ จากทั่วทุกมุมโลกรุมสาปส่ง ถึงวิธีการทำบทแบบ ‘ตรรกะบ้ง’ และเลือกโห่ใส่ The Rock แบบไม่สนว่า ดเวย์น จอห์นสัน จะดังมากขนาดไหน แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูก และตะโกนเชียร์ “We Want Cody” ขึ้นมาแทน ชนิดที่ท้ายสุด WWE ก็ยอมฟังเสียงคนดู ทีมงานรวมถึง The Rock ยอมปรับบท และส่งโคดี้เดินหน้า Finish the Story แบบที่ควรจะเป็น

 

เรื่องราวของโคดี้กับโรมันดำเนินต่อไป โดยมี The Rock มาเป็นสมการหนึ่งในครั้งนี้ 

 

ถึงแม้คืนแรกของ WrestleMania 40 โคดี้ โรดส์ กับ เซ็ต โรลลินส์ จะแพ้ต่อ โรมัน เรน์ และ The Rock

 

แต่ใน WrestleMania 40 คืนที่สอง ท่ามกลางความลุ้นของแฟนๆ ทั่วโลกว่าโคดี้จะโค่นบัลลังก์โรมันที่ครองแชมป์โลก Universal Championship มานาน 1,316 วันได้หรือไม่

 

โคดี้ทำแมตช์มาสู้กับโรมันได้อย่างสนุกภายใต้กติกา Bloodline Rules โดยมีช็อตที่เซอร์ไพรส์ผู้ชมอยู่หลายจุด หนึ่งในนั้นคือการปรากฏตัวของเหล่านักมวยปล้ำที่อยู่ในเส้นเรื่องนี้ และนักมวยปล้ำที่มาแบบเฉพาะกิจอย่าง The Rock, John Cena และ The Undertaker ที่ออกมาสร้างสีสันและสานต่อเรื่องราวระหว่างแมตช์ได้อย่างลงตัวเหมือนกำลังนั่งดู The Avengers: Endgame

 

 

สุดท้าย Story ก็ถูก Finish โคดี้ทำได้! ผู้คนในสนามกว่า 72,755 คนร้องเฮดังลั่นสนามลินคอล์น ไฟแนนเชียล ฟิลด์ ที่ฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา แม้แต่ ซาแมนธา ไอร์วิน โฆษกสาวที่นั่งอยู่ข้างเวที ยังร้องไห้และประกาศชื่อผู้ชนะอย่าง โคดี้ โรดส์ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หรือแม้แต่ตัวผมเองที่นั่งดูยังแอบมีบ่อน้ำตาล้นเอ่อที่ดวงตา

 

โคดี้จัดการ Finish the Story ได้สำเร็จ เขาจบเรื่องราวตลอด 2 ปีกับโรมันได้อย่างยอดเยี่ยม และจบความฝันที่มีมาอย่างเนิ่นนานหลายสิบปีด้วยการคว้าแชมป์โลกของ WWE มาสู่ตระกูลโรดส์ได้สำเร็จ

 

นับจากนี้ WWE กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่มี โคดี้ โรดส์ เป็นผู้นำแชมป์โลกคนใหม่ของสมาคมฯ ในแบบที่ครั้งหนึ่ง จอห์น ซีนา, The Rock, ชอว์น ไมเคิล, ทริปเปิลเอช และอีกหลายคนเคยทำ

 

มหากาพย์นี้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องราวของเขาทำให้ WrestleMania 40 ครั้งนี้ถูกยกให้เป็นรายการที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีของ WWE

 

ถึงวันนี้ ดัสตี้ โรดส์ จะไม่อยู่เชียร์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขึ้นปล้ำในแมตช์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ข้างเวทีแบบที่ทำในวันแรกที่พาโคดี้ออกมาแนะนำกับผู้ชมแล้ว

 

แต่เชื่อว่าดัสตี้จะภูมิใจกับความสำเร็จของโคดี้ครั้งนี้อย่างแน่นอน

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising