×

เปิดประเทศวันนี้! กูรูคาดท่องเที่ยวฟื้นจริงช่วงครึ่งหลังปีหน้า หวัง ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’ เป็นโมเดลคุมความเสี่ยง

01.11.2021
  • LOADING...
การเปิดประเทศ

การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศความเสี่ยงต่ำแบบไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐที่ต้องการจะพลิกฟื้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเดินหน้าต่อได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องซมพิษโควิดมาอย่างยาวนาน 

 

โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หรือไฮซีซัน 5 เดือนข้างหน้า ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 – มีนาคม 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจำนวน 1.1 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 1 แสนล้านบาท 

 

อย่างไรก็ดี นโยบายของประเทศต้นทางที่ยังกำหนดให้ไทยเป็นพื้นที่เสี่ยงมีการระบาดสูง อาจต้องกักตัวเมื่อกลับประเทศ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ของไทยยังทรงตัวในระดับสูง และความกังวลการกลายพันธุ์ของไวรัส รวมถึงขั้นตอนและแนวทางบริหารจัดการการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่น ระบบไทยแลนด์ พาส (Thailand Pass) ที่ยังดูไม่ชัดเจนนัก ทำให้หลายฝ่ายยังตั้งคำถามถึงเป้าของททท. และภาครัฐว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด

 

 

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า KKP Research ยังประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปีนี้เอาไว้ที่ 1.8 แสนคน และปีหน้าที่ 5.8 ล้านราย โดยเชื่อว่าในช่วงแรกของการเปิดประเทศจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มากนักที่เดินทางเข้ามา เนื่องจากหลายประเทศเป็นต้นทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังกำหนดเงื่อนไขให้ต้องมีการกักตัวหลังเดินทางกลับ หรือยังห้ามคนในประเทศเดินทางออก

 

“เรามองว่ากว่าที่สถานการณ์จะคลี่คลาย นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้ามาในไทยเยอะ อาจต้องรอถึงครึ่งหลังของปีหน้า แต่ในภาพรวมการเปิดประเทศก็ยังดีกว่าไม่เปิด เราควรมองช่วงแรกนี้ให้เสมือนเป็นการซ้อมใหญ่ วางระบบทางสาธารณสุขให้ดีและเร่งฉีดวัคซีนในประเทศ” พิพัฒน์กล่าว

 

พิพิฒน์มองว่า แม้การเปิดประเทศอาจทำให้ความเสี่ยงในการแพร่ระบาดสูงขึ้น แต่หากรัฐบาลมีมาตรการลดความเสี่ยงที่ดีพอ เช่น มาตรการที่ใช้ในภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ซึ่งพบปัญหานักท่องเที่ยวติดเชื้อไม่ถึง 1% ก็จะทำให้ความเสี่ยงไม่มากเกินไปเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ

 

“ปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนเราอยู่ที่ 40% ของประชากร ทำให้ความเสี่ยงยังมีอยู่ แต่บางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ที่ฉีดวัคซีนได้ถึง 80% ของประชากร ก็ยังพบปัญหาการระบาด จุดสำคัญในการเปิดประเทศคงเป็นมาตรการลดความเสี่ยงมากกว่าว่าจะทำอย่างไร กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ต้องมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ซับซ้อนเกินไป เพราะจะเป็นปัจจัยให้คนตัดสินใจไม่เดินทางมาได้” พิพัฒน์กล่าว

 

กูรูคาด มาตรการเปิดประเทศหวังผลเชิงสัญลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่น 

สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า การประกาศเปิดประเทศของไทยในเดือนนี้น่าจะคาดหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ในแง่การสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและการบริโภคใช้จ่ายในประเทศ มากกว่าในแง่รายได้ที่จะมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจริงๆ

 

“ถ้าเราย้อนไปดูสถิตินักท่องเที่ยวระหว่างประเทศทั่วโลกในปี 2019 ซึ่งมีจำนวน 1.9 พันล้านคน จะพบว่า 8% เป็นนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ และ 8% เป็นนักท่องเที่ยวจีน ถ้าเฉพาะในประเทศไทย นักท่องเที่ยวจีนจะมีสัดส่วนมากถึง 30% แต่ปัจจุบันสหรัฐฯ ยังจัดให้ไทยอยู่ในเลเวล 4 และไม่แนะนำให้คนของเขาเดินทางมา ขณะที่จีนก็ยังห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวออกมา ดังนั้น เราคงคาดหวังในแง่รายรับและจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาไม่ได้ในช่วงแรกนี้” สมประวิณกล่าว

 

 

อย่างไรก็ดี สำนักวิจัยกรุงศรีมีการปรับประมาณการตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 1.8 แสนคน เป็น 2 แสนคน และตัวเลขในปีหน้าเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านคน เป็น 5 ล้านคน

 

สมประวิณเชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวไทยจะเริ่มฟื้นตัวจากการท่องเที่ยวในประเทศก่อน ขณะที่การเดินทางเข้าประเทศในช่วงแรกจะยังจำกัดอยู่ในกลุ่มของนักธุรกิจ นักลงทุน และนักเรียนที่จำเป็นต้องเดินทาง ดังนั้น หากไทยคาดหวังผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น การโฟกัสที่การท่องเที่ยวในประเทศจะเห็นผลมากกว่า โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีประเมินว่า หากไทยยังรักษาอัตราการฉีดวัคซีนเอาไว้ที่ 5 แสนโดสต่อวันได้ ภายในไตรมาสแรกของปีหน้าจะมีสัดส่วนประชากรไทยที่ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 85%

 

“เราคงต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ได้สะดวก ส่วนตลาดต่างชาติคงต้องใช้โอกาสนี้เป็นการซักซ้อม หาวิธีบริหารจัดการการเดินทางและท่องเที่ยวภายใต้บริบทใหม่ สื่อสารขั้นตอนต่างๆ ให้ชัดเจน เช่น สนามบินสิงคโปร์ตอนนี้เขามี Vaccinated Lane ซึ่งสะท้อนว่าเขามีการคิดและปรับตัวให้เข้ากับบริบทใหม่

 

ส.อ.ท. หวังมาตรการรับมือเหมือนกันทุกจังหวัด ป้องคนสับสน

 

ด้าน สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการเริ่มเปิดประเทศรับต่างชาติเข้า 17 จังหวัดสีฟ้าหรือบลูโซนในวันนี้ว่า ภาครัฐควรเร่งกระจายวัคซีนจังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งคนไทยและต่างชาติ 

 

ขณะเดียวกัน อยากให้มาตรการด้านความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติต่างๆ เหมือนกันในทุกจังหวัด เพื่อให้การปฏิบัติตัวของนักท่องเที่ยวเหมือนกัน ไม่เกิดความสับสน เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลมอบอำนาจตัดสินใจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด ทำให้ที่ผ่านมาแม้จังหวัดจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสีเดียวกัน แต่วิธีปฏิบัติกลับไม่เหมือนกันจนมีปัญหาตามมา

 

“ถ้าเป็นไปได้อยากให้เปิดครบทุกจังหวัดมากกว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทุกพื้นที่ ภายใต้เงื่อนไขการฉีดวัคซีนทั่วประเทศและมาตรการป้องกันโควิดขั้นสูงสุด ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้นเชื่อว่าต่างชาติที่เข้ามาไทยจะไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยว แต่จะรวมถึงนักลงทุนด้วย เพราะที่ผ่านมามีนักลงทุนต้องการเข้ามาสำรวจพื้นที่การลงทุนก่อนตัดสินใจ แต่ไม่สามารถเข้ามาได้” สุพันธ์ุกล่าว

 

สุพันธ์ุกล่าวถึงประเด็นที่รัฐบาลมีการปลดล็อกให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ในบางจังหวัดนำร่องว่าถือเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากการพักผ่อนโดยเฉพาะชาวต่างชาตินั้นจะคู่กับการดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม ควรกำหนดพื้นที่เป็นการเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น เช่น โรงแรม ร้านอาหารในแหล่งท่องเที่ยว โดยต้องบังคับใช้มาตรการความปลอดภัยสูงสุดควบคู่ไปด้วย

 

การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำที่ล่าสุดเพิ่มเป็น 63 ประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทำให้หลายสำนักวิจัยเริ่มมีมุมมองต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในเชิงบวกมากขึ้น หลายสำนักได้มีการปรับประมาณการจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้น เราลองไปดูกันว่าตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดของแต่ละที่เป็นอย่างไรกันบ้าง

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประเมินว่า การเปิดประเทศจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประมาณเดือนละ 3 แสนคน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบได้

 

อย่างไรก็ตาม หอการค้าไทยค่อนข้างเป็นห่วงในเรื่องการอนุญาตให้สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ในบางจังหวัด ซึ่งอาจเกิดผลกระทบจนกลายเป็นการระบาดรอบใหม่ จึงอยากเสนอจำกัดการดื่มเอาไว้ในพื้นที่ที่ได้รับการรับรอง SHA+ เท่านั้น เพื่อควบคุมความเสี่ยง

ภาพประกอบ: พุทธิพงศ์ โรจน์ศตพงค์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising