×

เปิดโลกความงาม และแพสชันครั้งใหม่ของ ป๊อก-พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ ช่างแต่งหน้าที่เหล่าซูเปอร์สตาร์ต้องการตัวมากที่สุด

24.02.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • เปิดโลกความงาม และแพสชันครั้งใหม่ของ ป๊อก-พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ ช่างแต่งหน้าที่ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับ A-List ของเมืองไทย อาทิ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, แอน ทองประสม, มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, เบลล่า-ราณี แคมเปน ฯลฯ 
  • ครั้งหนึ่งในชีวิต ป๊อก-พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ เคยได้รับโอกาสสำคัญในชีวิตด้วยการไปถวายงานแต่งหน้าให้กับสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก (ตอนนั้นพระองค์กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับกษัตริย์จิกมีแห่งภูฏาน)

ชื่อเสียงของ ป๊อก-พรรวิษิษฐ์ สุขารมณ์ ช่างแต่งหน้าชื่อดังที่สะสมชั่วโมงบินในวงการแต่งหน้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นที่รู้จักทั้งในเมืองไทย และโด่งดังไกลระดับโลก หลายคนรู้จักเธอในนามของ ป๊อก Lovemelondon ผู้ที่คลุกคลีกับเหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, แอน ทองประสม, มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์, นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี, เบลล่า-ราณี แคมเปน ฯลฯ การได้รับความไว้วางใจจากคนดังระดับ A-List ของเมืองไทย เป็นบทพิสูจน์ความสามารถเฉพาะตัวบนเส้นทางของการเป็นเซเลบริตี้เมกอัพอาร์ทิสต์ได้เป็นอย่างดี THE STANDARD POP ชวนเธอมาบอกเล่าเรื่องราวของแพสชันครั้งใหม่กับการปลุกปั้น Production House ของตัวเองภายใต้ชื่อ Lovemeverywhere ที่มีลูกค้าเป็นแบรนด์ความงามชื่อดังทั้ง Tom Ford, Guerlain, La Mer, Shiseido, Cle de Peau Beaute, Laura Mercier และ Givenchy 

 

มาดูกันว่า ‘กว่าจะมีวันนี้ ป๊อก-พรรวิษิษฐ์ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร’  

 

 

ซึ่งก่อนจะไปรู้จักตัวตนของ ป๊อก Lovemelondon ให้มากขึ้น เราขอโฟกัสไปที่ผลงานครั้งสำคัญในการโชว์ฝีมือแต่งหน้าให้กับเจ้าสาวคนดัง ทั้ง โดนัท-มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล, เมทัล สุขขาว, บี-มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ และเจ้าสาวคนล่าสุดที่เป็นกระแสฮือฮาอย่าง มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน ที่เธอสวยทุกมุมในทุกพิธีการ ไม่ว่าจะงานหมั้นหรืองานแต่ง ความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างช่างแต่งหน้ากับเจ้าสาวเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด ‘มวล’ แห่งความสวยงามได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

ป๊อก: ต้องบอกว่าเราได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญในชีวิตของเหล่าเจ้าสาวคนดังไม่ว่าจะเป็น โดนัท-มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล, เมทัล สุขขาว, บี-มาติกา อรรถกรศิริโพธิ์ หรือ มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน การทำงานก็เริ่มต้นมีส่วนร่วมตั้งแต่การคิด Beauty Look ของแต่ละคนด้วย อย่างเช่น ลุคแต่งหน้าของมิว นิษฐา เราก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้มิวยังดูเป็นตัวของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเขาถูกแต่งหน้ามาไม่รู้กี่พันครั้งแล้ว เขาถูกเปลี่ยนรูปแบบการแต่งหน้าไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ที่จะต้องกลายเป็นเจ้าสาวของเจ้าบ่าว เขามีความรักที่ต้องผ่านการฟูมฟักกันมา เราก็ควรจะสร้างลุคในวันสำคัญของเขาให้เป็นตัวเขามากที่สุด สิ่งแรกที่ทำคือ ไม่ติดขนตาปลอมแน่นอน เพราะรู้สึกว่าสายตาที่จะส่งออกมา หากมันถูกบังด้วยขนตาปลอม มันจะทำให้การสื่อสารบางอย่างผิดเพี้ยนไปได้เหมือนกัน ก็เลยจะปล่อยให้ดวงตาของเขาเป็นส่วนที่โดดเด่นมากที่สุด 

 

 

ป๊อก: อย่างเจ้าสาวบางคนเราก็ต้องเริ่มอยู่กับเขาตั้งแต่ตี 4 ตี 5 ถ้าร่างกายเราไม่พร้อม เราก็จะพาเขาไปด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องดูว่าองค์ประกอบแวดล้อมเป็นอย่างไร มันมีมิติหลายๆ อย่างเหมือนกันที่จะนำพาให้งานชิ้นนี้ออกมาดีที่สุด มันไม่ใช่ว่ามาถึงตามเวลานัดแล้วก็แต่งหน้าเลย มันไม่ใช่แบบนั้น บางทีนั่งอยู่ในรถก็ต้องรวบรวมสติ ฮึบในใจก่อน แล้วค่อยออกจากบ้าน ใช้พลังเยอะมากๆ ซึ่งความรู้สึกหลังทำงานจบ ได้ความรู้มาอย่างหนึ่งจากการทำงานเจ้าสาว ความงามมันเป็นมวล มันมาเป็นมวล มันถึงจะสวยที่สุด มันจะไม่ใช่มาถึงแล้วแต่งหน้าให้สวย แล้วเน้นความคมตรงนั้นตรงนี้ มันไม่ใช่ มันต้องเป็นมวล ต้องไปด้วยกันทั้งลุคแต่งหน้าทำผม ต้องแข็งแรง จับมือกันไว้ มันจะไปเป็นมวล อย่างงานวันหมั้นของมิวในลุคผมตรง นั่นคือมวล เพราะว่าหันมุมไหนก็สวยหมด สบสายตากับใครทางไหนก็สวยหมด หรือจังหวะที่เขาก้มกราบ แล้วช้อนผมขึ้นมา มันต้องสวยหมดทุกท่วงท่า นั่นคือการอยู่ด้วยกัน อยู่ในบรรยากาศเดียวกัน 

 

 

จุดเริ่มต้นสู่วงการช่างแต่งหน้า 

ป๊อก: บอกตรงๆ เลยว่าย้อนกลับไปตอนที่เริ่มสนใจการแต่งหน้า และเริ่มจับอาชีพนี้

ก็เพราะต้องการสร้างรายได้ให้ตัวเอง ไม่อยากรบกวนที่บ้านด้วย ตอนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองอยากทำอะไรก็ได้ ที่สร้างรายได้ ก่อนจะแต่งหน้าก็เคยทำดอกไม้ขาย เป็นหนึ่งในวิชาที่เรียน ก็เอามาทำขายจริงๆ แล้วงานแต่งหน้าเราก็แต่งได้ เพราะมีรุ่นพี่เคยสอนและให้วิชาความรู้มา ก็ฝึกฝนฝีมือมาตลอด แล้วยุคนั้นเรียกว่าเป็นยุคปลายๆ 80 มันก็จะแต่งหน้าฮาร์ดคอร์นิดหนึ่ง คือจะแต่งเนียนกว่าปกติ คมผิดปกติ หรือว่าแต่งหน้าแบบเอาพู่กันชุบลงไปในน้ำ แล้วเอามาทาเนื้ออายแชโดว์แล้วมาเพนต์ มันเป็นวิธีของยุคนั้น หรือการปัดแก้มก็จุ่มน้ำแล้วลากบนแก้ม ซึ่งเทรนด์แต่งหน้าลุคดิสโก้มันก็จะแก้มคม พอเราฝึกมาแบบนั้น พื้นฐานด้านการแต่งหน้าก็เลยจะแข็งแรง เพราะเราไม่ได้ฝึกโดยเริ่มจากอะไรซอฟต์ๆ แต่เราฝึกมาแบบสายแข็งเลย 

 

 

พัฒนาการของเทรนด์แต่งหน้า 

ป๊อก: พอเข้าสู่ยุค 90 มันก็เข้าสู่ยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเทรนด์การแต่งหน้า โดยจะกลับมาอินกับเทรนด์เมกอัพที่มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น คนจะชอบแต่งหน้าแบบเอิร์ธโทน แล้วเครื่องแต่งกายที่ฮิตในยุคนั้นคือ Calvin Klein อย่างแฟชั่นโชว์บนรันเวย์ต่างๆ ก็จะเน้นใส่ยีน ใส่เชิ้ต หรือแจ็กเก็ต ซึ่งแบรนด์เครื่องสำอางที่เด่นในเรื่องเอิร์ธโทนคือ Bobbi Brown ซึ่งพอเราฝึกแต่งหน้ามาเรื่อยๆ ประสบการณ์ก็จะสอนเราโดยปริยายว่า โทนสีผิวแบบนี้ควรจะลงรองพื้นเฉดไหนให้เขาดูสวยเปล่งปลั่งขึ้น 

 

 

ฝึกฝนด้วยตัวเองไม่พอ ลงทุนบินไปเรียนแต่งหน้าถึงฝรั่งเศส

ป๊อก: ช่วงที่ไปเรียนแต่งหน้าเพิ่มเติมที่ประเทศฝรั่งเศส ที่สถาบันสอนแต่งหน้าแห่งหนึ่ง เป็นคอร์สสั้นๆ เลย ก็ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่การไปเรียนรู้ที่เมืองนอกได้สร้างจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตเหมือนกัน เพราะถ้ามองตัวเองตอนนั้นเหมือนคนที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของ 2 ยุค คือยุคอะนาล็อกกับยุคออนไลน์ ทุกวันนี้น้องๆ ยังบอกเลยว่า เราเหมือนคนในยุคอินสตาแกรมรุ่นแรก เหมือนเราก้าวมาจากอะนาล็อก แล้วเข้าสู่ออนไลน์ ตอนนั้นก็จะมีชมพู่ อารยา ที่แนะนำให้เข้าสู่วงการอินสตาแกรม และมีพลอย ชวพร, พลอย เฌอมาลย์ และมีเรา Lovemelondon ที่ใช้อินสตาแกรมเยอะๆ ในตอนแรก หลังจากเรียนที่ฝรั่งเศสกลับมา ก็เหมือนกับอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อย่างที่บอกว่าในยุคแรกๆ เราฝึกแต่งหน้าแบบฮาร์ดคอร์มาเลย แต่ที่ฝรั่งเศส ครูจะสอนแบบเอามือมาปาดแก้ม เพื่อเช็กว่าคุณลงรองพื้นหนาไปหรือเปล่า มันคือการที่เราค้นพบเทคนิคใหม่ๆ ให้กับตัวเอง 

 

 


หลักในการทำงานในสไตล์ของ Lovemelondon

ป๊อก: เราคิดเสมอว่าการแต่งหน้าให้ออกมาสวยงาม มันต้อง ‘Beautiful Inside Out’ มันไม่ใช่เทคนิคเรื่องการแต่งหน้าแล้วล่ะ วิธีคิดมันจะคล้ายๆ เหมือนกับเรามีปรัชญาในการดำเนินชีวิตมาตลอด มันส่งผลต่อการทำงานด้วย เพราะเคยเรียนด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาก่อน ชื่อสาขา Women Study ก็เป็นปรัชญาในด้านของการหยิบยกเอาผู้หญิงมาเป็นต้นร่างของความคิด แล้วถึงจะทำการวิเคาะห์ต่อไปเป็นเรื่องๆ ไป ทุกวันนี้เลยมองทุกอย่างเป็นการวิเคราะห์ไปหมด มันเชื่อมโยงกับการทำงานปัจจุบัน ที่เราจะคิดวิเคราะห์ว่าทำอย่างไรถึงจะดึงจุดเด่นของคนที่เราจะแต่งหน้าให้เขาดูสวยและมั่นใจที่สุด

 

 

อะไรบ้างที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน

ป๊อก: เราเป็นคนชอบดูหนัง ดูมาตั้งแต่เด็กๆ และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับการทำงานในวงการนี้ อย่างที่บอกว่าเริ่มต้นแต่งหน้าจริงจังปี 2535 รวมระยะเวลาแล้วเกือบๆ จะสามสิบปีเลยนะ การที่ชอบดูหนัง ฟังเพลงสมัยนั้น ก็ไม่ทันได้คิดหรอกว่ามันจะตอบโจทย์อะไรในอนาคตได้บ้าง จนเมื่อปีที่แล้วได้เริ่มต้นทำ Production House ของตัวเองในชื่อ Lovemeverywhere ก็ได้ใช้ทักษะด้านความงาม ผสมผสานกับแรงบันดาลใจที่สะสมมาตั้งแต่วัยเด็กที่ชอบดูหนัง มาทำฟิล์มด้านโมชันของตัวเอง แล้วมันตอบโจทย์ความต้องการที่เราอยากได้จริงๆ ซึ่งเราก็ได้ทำโมชันให้กับหลายแบรนด์ความงาม อาทิ แบรนด์ Tom Ford, Guerlain, La Mer, Shiseido, Clé de Peau Beauté, Laura Mercier และ Givenchy 

 

 

 

อย่างการได้ร่วมงานกับแบรนด์ Givenchy จากฝรั่งเศสที่มาจ้างเรา ก็เป็นเพราะเขาเห็นงานของเราจากตอนที่ถ่ายมิว นิษฐา ให้กับแบรนด์ Guerlain ซึ่งเขาก็จ้างเราให้ทำโปรดักชันให้ แล้วก็จ้างนักแสดงไทย ซึ่งเป็นแพสชันใหม่ๆ ที่ได้ใส่พลังความคิดสร้างสรรค์ของเราอย่างเต็มที่ ที่ทำมาก็สองปีกว่าๆ อย่างปีที่แล้วก็เริ่มสนใจทำงานอีเวนต์ 

 

ในมืออีกด้านก็ยังไม่ทิ้งงานเมกอัพ แต่ก็ยอมรับมืออีกข้างสนุกกับการทำ Production House มากๆ ได้อยู่กับการถ่ายทำฟิล์ม ได้อยู่กับการคิดโปรเจกต์อีเวนต์ ซึ่งฝั่งนี้จะเป็นฝั่งที่ดึงพลังของเรามากกว่าตอนแต่งหน้า ที่เราลงทุนลงแรงไปกับมันเต็มที่ แล้วพออีเวนต์ที่เราทำลงไปให้ฟีดแบ็กที่ดีจากผู้ที่มาร่วมงาน ได้เห็นสายตาพวกเขาที่มองบรรยากาศของงานที่เราจัดด้วยความชื่นชม เห็นพวกเขาหยิบกล้อง ยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำ เท่านี้มันก็เติมเต็มเราแล้ว 

 

 

อะไรคือความท้าทายในวงการความงาม
ป๊อก: ความท้าทายในการทำงานทุกวันนี้ของเรา มันก็เหมือนกับการเอาร่างกายเอาชื่อเสียงเข้าไปแลก ตอนนี้ถามว่าทุกก้าวในวงการความงามเกือบ 30 ปี เราสะสมชั่วโมง และสร้างชื่อเสียงมาเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จัก ทุกวันนี้พอเราจะหยิบงานอะไรก็ตามมันก็เหมือนเราเอาชื่อเสียงที่สั่งสมมาแลกกับทุกอย่างเหมือนกันนะ เพราะในทุกๆ งานมันจะมีชื่อเราอยู่ในงานนั้น รวมถึงผลงานต่างๆ ที่การันตีฝีมือของเรา การันตีชื่อของเรา มันจึงเป็นความท้าทายส่วนตัวที่เราจะไม่ยอมให้งานชิ้นต่อๆ ไปจะด้อยกว่างานที่ผ่านมา การรักษาชื่อเสียงและผลงานที่เราสะสมมาสำคัญมากๆ อย่างเวลาไปนั่งในห้องประชุมเพื่อขายงาน เราขายงานปากเปล่า แต่ลูกค้าซื้อไอเดียของเราเพราะเขาเชื่อในตัวเรา 

 

 

การทำงานครั้งไหนที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต

ป๊อก: ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้ไปถวายงานให้กับสมเด็จพระราชินีเจตซุน เพมา วังชุก ตอนนั้นพระองค์กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับกษัตริย์จิกมีแห่งภูฏาน ซึ่งก็มีเพื่อนของกษัตริย์จิกมีที่เป็นคนไทยคนหนึ่งเป็นเหมือนคนที่ช่วยสรรหาช่างแต่งหน้าเพื่อไปถวายงานในโอกาสสำคัญครั้งนั้น ทีแรกจะเลือกช่างแต่งหน้าจากอเมริกา แต่ก็มีความกังวลว่าพอเป็นช่างจากอเมริกา อาจจะอ่านเส้นโครงหน้าสไตล์เอเชียไม่ได้ แล้วงานนี้เป็นพิธียิ่งใหญ่ระดับโลกที่สื่อทั่วโลกจะมาเยอะมาก และที่สำคัญรูปภาพที่จะปรากฏจะกลายเป็นรูปที่จะเปิดเผยทั่วทั้งประเทศภูฏาน ดังนั้นภาพของพระองค์จึงต้องสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด

 

ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ เคยอ่านหนังสือพิมพ์ของคุณพ่อนะ ยังจำได้อยู่เลยว่าเคยอ่านเจอชื่อประเทศภูฏาน ซึ่งตอนนั้นก็ยังคิดเลยว่าในโลกนี้มีประเทศชื่อแบบนี้ด้วย และจำได้ว่าเนื้อข่าวที่อ่านสื่อว่าประเทศภูฏานเป็นประเทศที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ตอนเด็กคือรู้แค่นั้นเลย แล้วจำได้ว่าวันที่เพื่อนของกษัตริย์จิกมีติดต่อมา บอกว่าให้เงียบๆ ไว้นะอยากให้เคลียร์คิวให้ว่าง แล้วถามเราว่าคุณว่างไหมช่วงวันนี้ถึงวันนี้ เผอิญจะเชิญไปแต่งหน้าที่ต่างประเทศหน่อย เป็นงานใหญ่ระดับโลก พอคุยไปสักพักเขาก็บอกว่านี่จะเป็นงานใหญ่รองๆ จากงานระดับดัชเชสแห่งเคมบริดจ์เลยนะ เราก็คิดว่าใครๆ แต่แวบหนึ่งในใจก็คิดไปถึงกษัตริย์จิกมี พอติดต่ออัปเดตความคืบหน้ากันมาเรื่อยๆ ก็มั่นใจว่าคงใช่แล้วล่ะ หลังจากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวมากขึ้นจนกระทั่งได้เดินทางไปออกแบบลุคแต่งหน้าอยู่ประเทศภูฏาน 7 วัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในการไปประเทศภูฏาน การไปในครั้งนี้คือการไปทดลองแต่งหน้าจริงให้กับพระองค์เลยค่ะ เพื่อจะลองดูว่าแต่ละลุคจะแต่งออกมาเป็นอย่างไร บางทีพอแต่งหน้าเสร็จ กษัตริย์จิกมีก็เข้ามาทอดพระเนตรด้วย เพราะก็จะเป็นว่าที่สมเด็จพระราชินีของท่าน เหมือนกับเราต้องแบกรับความไว้วางใจจากพระองค์ทั้งสองสูงมาก ยอมรับว่ามีความตื่นเต้นมาก เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรเมื่อไปอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทยก็พอจะทราบว่าเวลาเข้าหาเจ้าแบบไทยๆ ก็ต้องมีความนอบน้อม เราก็ใช้วิธีนั้นแหละน่าจะถูกต้องที่สุด พอวันที่กษัตริย์จิกมีเสด็จมา แล้วแสดงความคิดเห็นต่อลุคแต่งหน้าที่เราแต่งว่า “ชอบนะ” ก็เป็นความภาคภูมิใจกับครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ถวายงานท่านด้วย 

 

 

ถ้าให้แนะนำเคล็ดลับความงามในแบบของ Lovemelondon

ป๊อก: อยากแนะนำว่าคนเราควรสวยในแบบที่เป็นตัวเองมันง่ายกว่าเคล็ดลับใดๆ ทั้งหมด วิธีการทางลัดสำหรับสาวไทยในยุคนี้เลยก็คือ ใช้เมกอัพให้ง่ายและไว ไม่ต้องขั้นตอนเยอะ ตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าให้พิจารณาตัวเอง เราจะรู้ตัวอยู่แล้วล่ะว่าเรามีจุดบกพร่องอะไรบ้าง หรือจุดเด่นของเราคืออะไร ก็เลือกเสริมจุดเด่นขึ้นมา ส่วนจุดบกพร่องก็กลบมันไปซะ แค่นี้เลย เวลาส่องกระจกก็ลองพิจารณาใบหน้าของตัวเองว่า ถ้าฉันเขียนตาแบบนี้ฉันจะสวยแน่เลย ก็เขียนตาเป็นจุดเด่น พยายาม Short Cut ให้ได้มากที่สุด ตัดอะไรได้ก็ตัด อาจจะใช้โปรดักต์เป็นตัวช่วย เช่น เราใช้รองพื้นที่มันดี หรือคุชชันที่มันดี ก็ใช้แบบที่ง่ายและเร็ว สิ่งนี้สำคัญกว่าเทรนด์ 

 

 

 ภาพ: @Lovemelondon / Instagram

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X