ยังคงสร้างความฉงนให้กับผู้ติดตามสถานการณ์สู้รบในยูเครนไม่หาย กับกรณีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาปอริซเซียเกิดเหตุระเบิดขึ้น แน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยอันดับแรกที่จะต้องถูกพูดถึงคือรัสเซีย ในฐานะที่เป็น ‘ผู้ยาตรา’ เข้ามาในแผ่นดินยูเครน
หลายคนคงจะพอทราบกันแล้วว่า เขื่อนโนวาคาคอฟกาเป็นเขื่อนปลายน้ำของแม่น้ำดนีเปอร์ที่ต้นน้ำไหลมาจากทางเหนือของประเทศยูเครน โดยผ่านกรุงเคียฟและไหลลงมาในทางทิศใต้ โดยมีเขื่อนโนวาคาคอฟกาเป็นเขื่อนที่อยู่ท้ายน้ำ
อันที่จริงการระเบิดเขื่อนเพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางการทหาร ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต
ช่วงจุดเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการบุกสหภาพโซเวียตแบบสายฟ้าแลบของกองทัพแวร์มัคต์ ฝ่ายนาซีเยอรมนีก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้เช่นกันคือ ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 1941 ฝ่าย ‘เจ้าบ้าน’ อย่างสหภาพโซเวียต ที่กำลังถอยร่น ได้พยายามใช้ทุกยุทธวิธีเพื่อประวิงเวลาให้ ‘ผู้รุกราน’ อย่างนาซีเยอรมนี ยาตราทัพเข้าสู่สหภาพโซเวียตให้ช้าที่สุด ในขณะที่ฝ่ายนาซีเยอรมนีได้มีการรุกถึงยูเครน และมีการสั่งการลับผ่านหน่วยสืบราชการลับ NKVD (ต่อมาจะกลายเป็น KGB อันโด่งดัง) ให้ระเบิด ‘เขื่อนดนีโปร’ (Dnipro Hydro Electric Station) ซึ่งเป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในยูเครน ณ ขณะนั้น เพื่อให้น้ำท่วม และกองทัพเยอรมนีไม่สามารถรุกคืบเข้าไปในแผ่นดินโซเวียตได้โดยสะดวก
แต่ผลในครั้งนั้นก็ทำให้ชาวบ้านนับแสนที่ไม่รู้แผนการนี้ต้องจมน้ำเสียชีวิตอีกนับแสนต้องไร้ที่อยู่อาศัย เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลอีกหน้าหนึ่งของยูเครนในปัจจุบันเช่นกัน
กลับมาที่ยุคปัจจุบัน เรื่องการระเบิดเขื่อนโนวาคาคอฟกากลายเป็นประเด็นร้อน ในฐานะที่เป็นอีกเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อโจมตีซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายยูเครนและฝ่ายรัสเซีย
แน่นอนว่าทันทีที่เกิดเหตุขึ้น กระแสมุ่งเป้าโจมตีไปที่รัสเซียโดยทันที เพราะว่าเป็น ‘จำเลยสังคม’ ในกรณีการบุกยูเครนอยู่แล้ว โดยมีการชี้ไปที่รัสเซียว่าเป็น ‘ผู้ก่อเหตุ’ นี้ เพื่อให้ชาวบ้านยูเครนจมน้ำตาย และเพื่อให้พื้นที่เพาะปลูกและการเกษตรไม่สามารถใช้การได้ รวมทั้งด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่ผู้เขียนไม่ขอลงรายละเอียด เพราะผู้อ่านสามารถรับชมหรือหาอ่านได้ตามรายงานข่าวต่างประเทศทั่วๆ ไป
แม้ว่าจะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าสาเหตุเกิดจากอะไรและใครเป็นต้นเหตุ แต่ทางฝั่งยูเครนรวมถึงกลุ่มประเทศ NATO ได้กล่าวหารัสเซียโดยทันทีว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุเขื่อนพังทลาย
โดยประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ได้กล่าวว่า “รัสเซียคือผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้”
โดยฝั่งยูเครนและพันธมิตรมองว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายรัสเซีย และกล่าวหาว่ารัสเซียจงใจใช้การทำลายเขื่อนเป็นอาวุธในการทำลายพื้นที่เพาะปลูกและการเกษตร ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าผลกระทบลูกโซ่ต่อจากนี้คือวิกฤตการณ์ด้านอาหารที่จะกระทบต่อห่วงโซอุปทานด้านอาหาร ไม่เพียงเฉพาะต่อยูเครนและยุโรป แต่รวมไปถึงความเดือดร้อนระดับโลกด้วย
มิโคลา คาลินิน หัวหน้าวิศวกรของ Ukrhydroproject วิสาหกิจไฟฟ้าพลังน้ำและการจัดการน้ำของยูเครน ได้พุ่งเป้าไปยังสาเหตุว่า การระเบิดคือตัวการทำให้เขื่อนพัง
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญจากฝั่งยูเครนและ NATO บางคนยังวิเคราะห์ว่า ที่รัสเซียจะได้ประโยชน์จากการที่เขื่อนพังคือ การที่ถนนบนสันเขื่อนจะไม่สามารถใช้การได้ และจะทำให้กองทัพยูเครนสามารถรุกคืบยึดดินแดนจากฝ่ายรัสเซียได้ช้าลง
แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการเน้นย้ำและนำเสนอคือ ข้อเท็จจริงจากฝั่งรัสเซียที่นำมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของยูเครน (ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีการนำเสนอสักเท่าไร)
ฝ่ายรัสเซียมองว่าเขื่อนโนวาคาคอฟกาเป็นสถานที่ที่เพิ่งจะอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายกองทัพรัสเซีย โดยเฉพาะการที่เขื่อนระเบิดและทิศทางที่น้ำในเขื่อนทะลักออกไปนั้นก็เป็นแนวป้องกันของฝ่ายทหารรัสเซียอยู่แล้ว การที่น้ำในเขื่อนไหลบ่าไปพร้อมๆ กับทุ่นระเบิดจำนวนมากที่ต่างฝ่ายต่างวางไว้เพื่อป้องกันแนวรบของตนเองก็ไหลไปตามน้ำลงไปทางฝั่งแนวป้องกันของรัสเซีย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอันตรายต่อฝ่ายรัสเซียเองเช่นกัน (แน่นอนว่าชาวบ้านโดยรอบเขื่อนก็ตกอยู่ในสภาวะอันตรายนี้)
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากข้อเท็จจริงอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น ในขณะที่เกิดเหตุ ประตูน้ำมีการเปิดไว้ให้กว้างที่สุด รวมไปถึงมีการเปิดเผยว่า เขื่อนเหนือน้ำอย่าง ‘เขื่อนดนีเปอร์’ ได้มีการกักเก็บน้ำมากกว่าปกติและปล่อยน้ำมหาศาลมาที่เขื่อนปลายน้ำราวกับว่า เพื่อเตรียมการให้เกิดผลเสียหายมากกว่าปกติเมื่อเกิดเหตุร้ายอันใดก็ตามที่เขื่อนท้ายน้ำอย่างเขื่อนโนวาคาคอฟกา
ในเมื่อเหตุผลไม่ได้ชี้ไปในทางที่รัสเซียจะวางระเบิดตัวเอง ก็มีอีกความเป็นไปได้ที่เขื่อนจะถูกทำลายโดย ‘ลูกยาว’ อย่างเช่น จรวด Himars ที่ฝั่ง NATO ส่งไปให้ยูเครนใช้ และก็มีการใช้ลูกยาวแบบนี้หลายกรณี ตั้งแต่การยิงถล่มสะพานข้ามแม่น้ำดนีเปอร์ตัดเส้นทางการบุกของฝั่งรัสเซีย รวมไปถึงการโจมตีสถานที่ต่างๆ ในไครเมีย พูดสั้นๆ ก็คือ รัสเซียก็ชี้นิ้วไปทางยูเครนบอกว่า “เอ็งนั่นแหละเอาลูกยาวยิงเขื่อน เพื่อจะป้ายสีข้า”
ในแง่ของผลกระทบในระยะยาว แน่นอนว่าฝ่ายที่จะเดือดร้อนก็คือไครเมีย ที่ฝักใฝ่ทางรัสเซีย อันเนื่องมาจากการที่ต้องพึ่งพาน้ำจืดที่ไหลมาจากทางยูเครน ก่อนหน้านี้ก็มีการเล่นเกมการเมืองระหว่างรัฐบาลที่เคียฟและไครเมีย โดยเคยมีการขู่ว่าจะตัดการส่งน้ำจืดเข้าไปยังไครเมียมาแล้ว โดยเฉพาะในปี 2014 ปีแรกที่ไครเมียประกาศแยกตัวจากยูเครน รัฐบาลกลางที่กรุงเคียฟเคยใช้การ ‘ตัดการส่งน้ำ’ เป็นอาวุธบังคับให้ไครเมียยอมกลับมาสิโรราบต่อยูเครนมาแล้ว
ดังที่ประวัติศาสตร์ได้ให้บทเรียนไว้แล้วว่า ‘เจ้าบ้าน’ คงจะสามารถใช้ยุทธวิธีอันใดก็ได้หรือวิธีใดก็ได้ เพื่อให้เกิดผลหยุดยั้งต่อ ‘ผู้รุกราน’
ภาพ: International Atomic Energy Agency / Handout via Reuters
อ้างอิง:
- https://www.aljazeera.com/news/2023/6/6/the-nova-kakhovka-dam-what-you-need-to-know
- https://www.aljazeera.com/news/2023/6/7/ukraines-zelenskyy-says-dam-blast-will-not-stop-military-plans
- https://www.bbc.com/news/world-europe-65818705
- https://www.euronews.com/2023/06/06/ukraine-says-russia-has-blown-up-nova-kakhovka-dam-in-kherson-region
- https://ava.md/ru/stati/history/75-ya-godovschina-podryva-dneproges/
- https://www.kp.ru/daily/27513/4775017/
- https://www.theguardian.com/world/2023/jun/09/visual-guide-ukraine-nova-kakhovka-dam-collapse