×

NOT ME…เขาไม่ใช่ผม ก้าวใหม่ของซีรีส์วายที่ตีแผ่ระบบอยุติธรรมและอภิสิทธิ์ชนในสังคม

29.01.2022
  • LOADING...
NOT ME...เขาไม่ใช่ผม

*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์*

 

NOT ME…เขาไม่ใช่ผม ซีรีส์วายเรื่องใหม่จากค่าย GMMTV ที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการซีรีส์วาย จนทำให้ #NotMeSerie ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ไทยเป็นอันดับหนึ่งทุกครั้งที่มีการออกอากาศ ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงเรื่องราวของหนุ่มนักเรียนนอกที่เพิ่งกลับมาประเทศไทย และปลอมตัวเข้าไปสืบหาความจริงเกี่ยวกับคนที่ทำร้ายพี่ชายฝาแฝดของตนเอง พร้อมๆ กับตีแผ่ความจริงในสังคมอย่างตรงไปตรงมาในแบบที่เราไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในซีรีส์ไทย 

 

อีกหนึ่งเหตุผลที่คนดูเฝ้ารอเรื่องนี้กันมานาน เป็นเพราะการกลับมารับบทคู่กันอีกครั้งของ ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร และ กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์ หลังฝากผลงานไว้ด้วยกันมากมาย (รุ่นพี่ Secret Love, Our Skyy, ทฤษฎีจีบเธอ) และครั้งนี้ยังเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของทั้งสองคนกับการแสดงที่ก้าวกระโดดไปอีกขั้น รวมทั้งความท้าทายของกันที่จะต้องรับบทเป็นแบล็คและไวท์ ฝาแฝดที่เติบโตมาด้วยเส้นทางชีวิตที่ต่างกัน การันตีความเข้มข้นด้วยฝีมือการกำกับของ นุชชี่-อนุชา บุญยวรรธนะ ผู้กำกับรางวัลสุพรรณหงส์ จากภาพยนตร์เรื่อง มะลิลา และ อนธการ 

 

ท่ามกลางการเล่าถึงเรื่องราวของแบล็คและไวท์ (กัน-อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์) ฝาแฝดที่ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่เด็กเพราะการหย่าร้างของพ่อแม่ ซีรีส์เริ่มปล่อยหมัดฮุกใส่เราตั้งแต่นาทีที่ 8 ของอีพีแรก เมื่อไวท์กลับมายังประเทศไทยเพื่อสอบเป็นนักการทูต และถูกพ่อของตนพาไปร่วมโต๊ะอาหารกับคนของกระทรวง บทสนทนาระหว่างนั้นทำให้ไวท์รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่การกินข้าวธรรมดาอย่างที่เขาคิดไว้

 

 

“อยากได้แนวข้อสอบไหม?”

 

คำถามที่ทำเอาทั้งไวท์และคนดูหน้าชาไปพร้อมกัน แต่ท่ามกลางวงอาหารของผู้ใหญ่ ไวท์ทำได้เพียงยิ้มรับและตอบขอบคุณกลับไป

 

ต่อมาไม่นานไวท์ได้รับการติดต่อจากต๊อด (ซิง-หฤษฎ์ ชีวการุณ) เพื่อนเก่าในวัยเด็กที่ทำให้เขาได้รู้ว่าแบล็คโดนทำร้ายร่างกายจนอาการสาหัส วินาทีที่พบพี่ชายฝาแฝดในห้องไอซียูหลังจากไม่ได้พบกันมานานถึง 15 ปี ใบหน้าที่บิดเบี้ยวและรอยฟกช้ำตามร่างกายของแบล็ค ทำให้ไวท์ตัดสินใจตามหาความจริงว่าใครคือคนที่ทำร้ายพี่ชายของเขา

 

ไวท์จึงปลอมตัวเข้าไปสืบหาความจริงในกลุ่มเพื่อนสนิทของแบล็ค ซึ่งมีฌอห์น (ออฟ-จุมพล อดุลกิตติพร) หยก (เฟิร์ส-คณพันธ์ ปุ้ยตระกูล) และแกรม (ม่อน-ธนัชชัย วิจิตรวงศ์ทอง) หลังจากนั้นซีรีส์ก็ปล่อยหมัดฮุกที่สองตามมาติดๆ ด้วยการพบกันครั้งแรกของไวท์และแกรมในห้องเรียนคณะนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่แบล็คกำลังเรียนอยู่

 

 

แกรมเริ่มทวนข้อสอบที่กำลังจะออกในคาบเรียนนั้นให้ไวท์ฟังด้วยคำถามว่า

 

“Rule of Law คือกฎหมายใหญ่สุด ทุกคนเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย แล้วมึงว่าไทยเป็น Rule of Law ไหม”

 

ไวท์ที่ใช้เวลาครึ่งชีวิตเติบโตในต่างประเทศและรับรู้ข่าวสารของประเทศไทยจากสื่อต่างๆ เท่านั้น จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่าระบบกฎหมายไทยเป็น Rule of Law ทำเอาแกรมแสดงสีหน้าแปลกใจและเริ่มสงสัยในความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนตัวเอง

 

เรื่องราวดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว ไวท์ได้รู้ว่าแก๊งเพื่อนสนิทของแบล็คไม่ได้เป็นเด็กมหาวิทยาลัยธรรมดา แต่พวกเขารวมตัวกันเพื่อต่อต้านผู้มีอำนาจและความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยมีกุมภา (ปาแปง-พรหมพิริยะ ทองพุทธรักษ์) เจ้าของอู่ซ่อมรถ คอยให้ความช่วยเหลือ และแผนการแรกที่ไวท์ต้องไปร่วมอย่างไม่สามารถถอนตัวได้คือ การบุกเข้าไปเผาบ้านของทวี (เป้-ทวีฤทธิ์ จุลละทรัพย์) นักธุรกิจใหญ่ที่สร้างบ้านรุกพื้นที่ป่าสงวน

 

ความจริงแรกที่ไวท์ได้รับรู้หลังจากไม่ได้พบกับพี่ชายของตัวเองมากว่าสิบปีคือ แผนการทั้งหมดเป็นสิ่งที่แบล็คได้วางแผนไว้ และเมื่อการเผาบ้านในครั้งนั้นเกือบทำให้คนบริสุทธิ์เป็นอันตรายไปด้วย

 

ไวท์จึงยิ่งรู้สึกผิดหวังและห่างไกลจากพี่ชายฝาแฝดของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน

 

 

“นี่เป็นวิธีการสู้ของพี่เหรอวะ ผมรู้นะว่าที่นี่ทุกคนไม่เสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมาย แต่สิ่งที่พี่ทำมันคือการทำลายกฎหมายเสียเอง”

 

หลังจากวันนั้นไวท์ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนปกติ ไม่ต่างกับข่าวบ้านรุกพื้นที่ป่าสงวนของทวีที่ค่อยๆ เงียบหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาไวท์ได้เข้าสอบเป็นนักการทูตจนสามารถผ่านไปถึงรอบสัมภาษณ์ได้สำเร็จ

 

ในวันสัมภาษณ์เขาได้พบกับชายคนหนึ่งที่กำลังรอเข้าสัมภาษณ์เหมือนกับเขา หลังจากชายคนนั้นได้รับรู้ว่าไวท์คือลูกชายของอดีตนักการทูต เขาก็มีสีหน้าและท่าทางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับพูดทิ้งท้ายเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้ไวท์หน้าชาได้ทันที

 

“ก็ว่าทำไมนายถึงมั่นใจว่าจะสอบได้ นายก็คงจะสอบได้จริงๆ นั่นแหละ”

 

การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในครั้งนั้นทำให้รายชื่อของใครหลายคนถูกขีดฆ่าทิ้ง โดยไม่มีแม้แต่โอกาสได้แสดงความสามารถ ไม่ต่างกับในชีวิตจริงที่คนมากมายพยายามทำตามความฝันและตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตด้วยความหวังว่า ‘หากพยายามมากพอ สักวันหนึ่งก็จะสามารถพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ได้’ โดยไม่รู้เลยว่านี่คือกับดักที่หลอกลวงพวกเขามาโดยตลอด 

 

การเพิ่งค้นพบว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหามาตลอดชีวิต ทำให้ไวท์ตัดสินใจกลับมาปลอมตัวเป็นแบล็คอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับพี่ชายฝาแฝดเท่านั้น แต่เพื่อหันหลังให้กับอภิสิทธิ์มากมายที่เคยพรางตาเขาไว้จนไม่เคยมองเห็นปัญหาเหล่านี้

 

การกลับมาของไวท์ทำให้ทิศทางของแก๊งเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เพราะเขาเป็นคนที่มักคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบและมีเหตุผลเสมอ ต่างจากฌอห์นซึ่งเป็นคนบ้าดีเดือด คิดแต่จะพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กลัวอะไร ไวท์จึงพยายามโน้มน้าวให้ฌอห์นต่อสู้ด้วยสันติวิธี 

 

แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของฌอห์นได้ ฌอห์นยังยืนยันที่จะสู้ด้วยวิธีของตัวเอง เพราะเขารู้ดีว่าการต่อสู้อย่างสันติในประเทศนี้ไม่เคยได้รับการมองเห็น หรือถูกให้คุณค่าเลยสักครั้ง

 

อย่างที่เราเคยเห็นตัวอย่างมามากมายกับการออกมาส่งเสียงและเรียกร้องความยุติธรรมของใครหลายคนที่ถูกทำให้ ‘เงียบหาย’ ไปจากสื่อ หรือ ‘อุ้มหาย’ ไปหลายต่อหลายครั้ง

 

 

อย่างไรก็ดี ในตอนต้นของทุกอีพีมักจะมีข้อความขึ้นมาย้ำเตือนกับคนดูเสมอว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่ถูกสมมติขึ้นมาเท่านั้น แต่กลับเป็นเรื่องตลกร้าย เพราะเราทุกคนต่างคุ้นเคยกับเรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี ทั้งกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมในสังคม ผู้บังคับใช้ที่เอนเอียง หรือแม้แต่การเอื้อประโยชน์กันเองของกลุ่มทุนและคนที่มีอำนาจ

 

สุดท้ายแม้ว่าตลอด 6 อีพีที่ผ่านมา ไวท์และกลุ่มเพื่อนอาจเคยทำผิดพลาดและหมดหวังกับการพยายามเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เราก็ยังหวังว่าในตอนจบของเรื่อง ความพยายามของพวกเขาจะสัมฤทธิ์ผล 

 

รวมถึงหวังว่าสักวันหนึ่ง ‘เสียง’ และความพยายามของพวกเราจะมีความหมายและสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ไม่ต่างกัน

 

ภาพ: AIS Play, GMMTV

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising