×

Noi Pru ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ที่ใช้เวลา 12 ปีเพื่อเดินทางเข้าใกล้แฟนเพลง

18.08.2018
  • LOADING...

จะว่าไป การได้พูดคุยกับ ‘น้อย วงพรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ เกี่ยวกับผลงานอัลบั้มเดี่ยวซึ่งใช้เวลาทำยาวนานกว่า 12 ปีนั้นแอบได้อารมณ์คล้ายๆ การหมุนวนกลับมาเจอกันอีกครั้งของ ‘ดวงดาว’ ที่กำลังโคจรเข้าใกล้โลกหลังออกเดินทางไกลไปหลายร้อยปีแสง ซึ่งย่อมต้องมีเรื่องราวหลากหลายให้ได้ถามไถ่อัปเดต

 

แม้เนื้อหนังริ้วรอยบนใบหน้าของน้อย วงพรู ในระยะใกล้จะมีมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นชายวัย 47 ปีที่ดูดีไม่ต่างจากภาพจำบนเวทีในฐานะนักร้องนำวงพรูเมื่อกว่า 12 ปีก่อน

 

ความน่าสนใจคือหลังจากน้อย วงพรู กลับมาพร้อมกับเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก แด่ศาลที่เคารพ ผู้ชายที่มักจะบอกเสมอว่า ‘ตนเองเกิดผิดยุค’ เพราะแทบไม่อินกับเทคโนโลยี (น้อยเป็นนักสะสมของเก่า เขาเพิ่งจะมีสมาร์ทโฟนใช้เป็นเครื่องแรกเมื่อ 2 ปีก่อน และเพิ่งจะสร้างแฟนเพจของตัวเองบนเฟซบุ๊กได้ไม่กี่เดือน) จะดีลกับหลากเรื่องหลายราวในวงการเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปนี้อย่างไร

 

THE STANDARD ไม่รอช้า เรากำลังจะก้าวขาสู่ชั้นบรรยากาศเพื่อสำรวจตัวตนและความคิดความอ่านอีกครั้ง ก่อนที่ ‘ดาวเคราะห์น้อย’ ดวงนี้จะปล่อยอีก 2-3 ซิงเกิล พร้อมอัลบั้มเต็มอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า

 

 

หลังจากใช้เวลาทำอัลบั้มเดียวมานานกว่า 12 ปี ล่าสุดคุณปล่อยซิงเกิลแรก แด่ศาลที่เคารพ ออกมาแล้ว เรื่องน่าสนใจคือการเดินทางที่ใช้ระยะเวลายาวนานถึง 12 ปี หรือเท่ากับ 1 รอบชีวิตคน ชีวิตและความคิดของคุณเหมือนหรือแตกต่างกับวันแรกที่เริ่มต้นงานอัลบั้มนี้อย่างไรบ้าง

ใช่ๆ อัลบั้มชุดนี้ผ่านมาแล้ว 12 ปี (ยิ้ม) ช่วงเวลานั้นเราก็เป็นคุณพ่อนะ อย่างเรื่องความรักหรือมุมมองบางอย่างกับตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย เราเรียนรู้มากขึ้น บางทีเราก็รู้สึกว่าฉลาดขึ้น ยอมรับหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ยังรู้สึกเป็นเด็ก ยังพลาดได้ หรือบางทีเจออะไรมากระทบมันก็ยังเจ็บเหมือนเดิม

 

ถ้าพูดเรื่องของงานเพลง ความหวังที่อยากให้เพลงเกิด อยากให้เพลงคอนเน็กต์กับคนฟัง มันก็ยังไม่ต่างจากยุคที่ปล่อยอัลบั้มแรก แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มีความคอนฟลิกต์ เพราะน้อยรู้สึกว่าการเป็นศิลปินเดี่ยว เราก็ต้องมองตัวเองเป็นคนใหม่ เราต้องพยายาม ต้องเล่นเยอะๆ เพื่อสร้างคอนเน็กชันกับคนดู พยายามให้เหมือนกับว่าเขาไม่เคยรู้จักเราด้วยซ้ำ แล้วความจริงคนฟังเพลงเจเนอเรชันใหม่เขาก็ไม่รู้จักน้อยนะ เพราะฉะนั้นความพยายามมันก็เลยเท่ากับสมัยก่อน เพียงแต่นักดนตรีบางคนอาจจะมองเราว่าเป็นศิลปินรุ่นพี่ เป็นศิลปินเก่าแก่ เขารู้ว่าเรามีประสบการณ์มาในระดับหนึ่งแล้ว มันก็เลยเป็นคอนฟลิกต์กับเรานิดหน่อย

 

อีกอย่างคือหลังจากปล่อยงานเพลงออกไป ตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าคุณกลับมาอยู่ในสปอตไลต์พร้อมสถานะศิลปินเพลงแบบเต็มตัวแล้ว ซึ่งบรรยากาศในวันนี้ก็แตกต่างกันยุคสมัยก่อนพอสมควร ทั้งรูปแบบการโปรโมตหรือรูปแบบการเสพงานดนตรีก็แตกต่างไปมาก คุณได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากความเปลี่ยนแปลงไปของมันบ้าง

สมัยก่อนเวลาจะรอฟังผลงานตัวเองเมื่อออกไปสู่สาธารณะ เราจะรอฟังทางคลื่นวิทยุ ดูรายการ Channel V Thailand หรือ MTV ว่าวีกนี้เพลงไปถึงอันดับที่เท่าไรแล้ว มันจะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งหรือยัง (หัวเราะ) แต่ตอนนี้น่าจะต้องรอดูจากยูทูบว่าจะมีคนมากดกี่ไลก์ ถ้าเกิดไม่ถึงล้านไลก์มันก็เห็นชัด… เพราะฉะนั้นการรับรู้ว่าอะไรไปต่อได้หรือไปต่อไม่ได้มันก็อาจจะต่างกัน น้อยก็รู้อยู่แล้วว่าเราต้องอย่าไปคิดเรื่องตรงนั้น แต่เราเป็นมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติที่ศิลปินทุกคนก็อยากจะรู้ว่าผลงานเพลงไปถึงไหนแล้ว (หัวเราะ)

 

น้อยเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่มีความฝัน แต่บางทีมันก็ต้องใช้เวลา ต้องขยัน ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ความฝันนั้นมันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันไม่ได้เกี่ยวกับโชคชะตาอย่างเดียว มันขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่าจะพยายามมากแค่ไหน อย่างอัลบั้มชุดนี้ ถ้าน้อยต้องทำอะไรเพื่อให้เพลงสามารถจะคอนเน็กต์กับคนฟังได้ น้อยก็ยินดี

 

 

อย่างซิงเกิลแรก ‘แด่ศาลที่เคารพ’ ที่เพิ่งปล่อยออกไป คุณต้องการจะสื่อสาร ต้องการจะคอนเน็กต์อะไรกับแฟนเพลง

แด่ศาลที่เคารพ เป็นเพลงเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่ ซึ่งน้อยว่าพวกเราทุกคนต่างก็อยากจะมีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่ เวลาพูดว่า ‘เริ่มต้นใหม่’ ความจริงมันยากกว่าที่คิดนะ แล้วถ้าเกิดเรามองในมุมมองของคนที่เคยอยู่ในคุกมาก่อน การที่เขาจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่นี่ โอ้โห ยากกว่าเราร้อยเท่าครับ

 

เนื้อหาในมิวสิกวิดีโอเราก็เลยเข้าไปถ่ายทำกันในคุกจริงๆ (ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะได้ดูมิวสิกวิดีโอกันภายในเดือนสิงหาคมนี้) น้อยได้คุยกับคนที่เคยผ่านชีวิตในนั้นมาจริงๆ ซึ่งเท่าที่ได้คุยกับน้องๆ ที่เขาออกมาจากคุก หลายคนก็หางานไม่ได้ เพราะมันก็ต้องอยู่ในประวัติเวลาเขาจะไปสมัครงาน จะหลอกก็ไม่ดี จะพูดความจริงก็ไม่ได้งาน จะหาแฟนก็ยาก หลายคนก็เลยต้องกลับไปที่คุก เพราะคนไม่ยอมรับเขา ไม่ให้โอกาสเขา

 

ผมพยายามร้องในมุมมองของน้องๆ เหล่านี้ที่บางคนชีวิตเขาลำบากจริงๆ อาจจะมีบางคนนะครับที่เขากลับมาได้ ชีวิตประสบความสำเร็จ แต่บางคนก็ทำไม่ได้ ทุกคนล้วนแต่ต้องการโอกาส จะจนหรือรวย ทุกคนก็เคยผิดพลาดในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นการให้อภัย การที่คนจะยอมรับในตัวเราอีกครั้งมันยากมากๆ เนื้อหาเพลงมันเลยขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วที่จะให้โอกาสพวกเขาไหม

 

(คิด) แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนควรจะมีโอกาสอีกครั้งนะครับ คุณต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าฉันเปลี่ยนไปแล้วนะ ก่อนคนอื่นจะยอมรับคุณ ก่อนที่น้อยจะคิดถึงจุดนี้ น้อยรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถสร้างอินสไปเรชันให้กับคนได้หรอก เพราะน้อยเกิดมาโชคดี อินสไปเรชันที่สุดยอดมันควรจะเริ่มจากคนที่เคยผิดพลาดจริงๆ แล้วสุดท้ายเขาได้เจอกับแสงสว่าง เหมือนอย่างคนที่เคยติดคุกแล้วสุดท้ายเขาพาชีวิตตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง นั่นก็เลยเป็นวิญญาณของเพลง แด่ศาลที่เคารพ It’s a good message. น้อยว่านะ

 

 

ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกไว้ว่าธีมในอัลบั้มชุดนี้มีหลายเพลงที่เกี่ยวกับการ redemption หมายถึงการให้โอกาส หรือการขอโอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ตรงกับคอนเซปต์เพลงแรกเหมือนกัน ทำไมคุณจึงสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ    

บางทีน้อยจะรู้สึกอ่อนแอ รู้สึกมีปมด้อย เพราะน้อยไม่ live in the real world น้อยรู้สึกว่าน้อยเกิดมามีโอกาส น้อยได้พบกับความรัก ได้เดินทาง ได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำ เป็นคนที่โชคดีมาก ซึ่งนั่นมันดูเหมือนว่าน้อยไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง ไม่เหมือนอย่างคนที่เขาต้องต่อสู้ คนที่ชีวิตเขาต้องลำบากทุกวัน ซึ่งน้อยว่าชีวิตแบบนั้นมันเป็นชีวิตที่อินสไปร์คนได้จริงๆ

 

น้อยหวังว่าน้อยจะสามารถสร้างเพลงที่อินสไปร์ให้คนลุกขึ้น make you feel good ได้จริงๆ ช่วยคนได้จริงๆ หลายอย่างในอัลบั้มชุดนี้มันเลยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เช่น การพูดถึงคนที่เคยทำผิดพลาด คนที่เคยลำบากแล้วกลับมาชนะ ได้เจอกับแสงสว่างอีกครั้ง ความตั้งใจก็คือถึงแม้ในชีวิตจริงตัวน้อยจะให้อินสไปเรชันไม่ได้ แต่อย่างน้อยคนที่น้อยเล่าในเนื้อหาเพลงเขาสามารถจะทำได้  

 

 

ล่าสุดเห็นน้อย วงพรู เพิ่งมีโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเอง นี่ก็น่าจะเป็นการปรับตัวสู่โลกบันเทิงสมัยใหม่ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนด้วยเหมือนกัน

ใช่ๆ วงการเพลงมันก็เปลี่ยนไปเยอะ ตอนนี้มีทั้งคนที่รู้จักเราและคนที่ไม่รู้จักเรา อย่างการเรียนรู้เรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์ก I was so stupid. คือน้อยลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้น้อยเคยมีไอพอดนาโนก่อนหน้าที่น้อยจะมีสมาร์ทโฟน แล้วเพลงน้อยก็อยู่ในไอพอดเสมอ ล่าสุดมันเริ่มพัง น้อยก็เลยจะไปซื้ออันใหม่ พอไปถึงที่ร้าน เขาก็บอกว่าเราไม่ขายไอพอดแล้วพี่น้อย

 

น้อยก็เลยถามว่าแล้วผมจะโหลดเพลงยังไง น้องเขาบอกว่าก็โหลดใส่ในโทรศัพท์มือถือของพี่ไง ในนั้นมันจะมีแอปพลิเคชันไว้ใช้ฟังเพลง (หัวเราะ) แล้วพี่ฟังแค่จากในนั้นก็พอ อ๋อ จริงเหรอ ทำไมน้อยไม่เคยคิดถึงวิธีนี้เลย This is a true story. (หัวเราะ) ของพวกนี้แหละที่น้อยลืมคิด

 

แล้ววันนี้พอต้องกลับมาสู่ขั้นตอนโปรโมตงานเพลง สองอย่างที่น้อยได้เรียนรู้คือคนฟังเพลงจากสตรีมมิงแล้วนะ JOOX คืออะไร และถ้ามันคือแพลตฟอร์มฮิตที่สุดในเมืองไทยตอนนี้ เราก็อาจจะต้องเข้าไปคุย marketing package กับ JOOX หน่อยว่าเขาจะมีแบนเนอร์ให้คนฟังเพลงเราได้หรือเปล่า (หัวเราะ) หรืออย่างการปล่อยเพลงลงไปในยูทูบ เรื่องพวกนี้เราก็ต้องทำการบ้านหน่อย

 

พอเรียนรู้แล้วสนุกกับมันไหม

ความจริงมันก็เป็นสิ่งที่ไม่สนุกสำหรับศิลปินเลยนะ แต่เราก็อยากให้อัลบั้มมันเวิร์ก อุตส่าห์ใช้เวลาทำเพลงมาตั้งสิบกว่าปี เราก็จำเป็นต้องเรียนรู้ในจุดนี้หน่อย

 

หรืออย่างเรื่องมี ‘แฟนเพจ’ ความจริงน้อยทราบมาตั้งนานแล้ว แต่น้อยนึกไม่ถึงว่าจะต้องทำจริงๆ (ยิ้ม) ก็ภูมิใจนะ อย่างเมื่อก่อนน้อยไม่เคยมีสมาร์ทโฟน เพิ่งจะมีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คนก็จะบอกว่าพี่เท่จะตายที่ไม่มีสมาร์ทโฟน พี่ซื้อมาใช้ทำไม

 

วันนี้พอมีแฟนเพจ พี่มีแฟนเพจด้วยเหรอ โธ่ พี่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่เท่เหมือนแต่ก่อน (หัวเราะ) แต่น้อยจำเป็นต้องมีไง เพราะถ้ายูจะมีอัลบั้ม มันก็ต้องมีเงินทำมิวสิกวิดีโอ ยูก็ต้องไปหาสปอนเซอร์ ซึ่งเขาก็บอกว่าถ้าคุณไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีอินสตาแกรม เราก็ไม่เป็นสปอนเซอร์ให้คุณนะ มันเลยทำให้เราต้องมีเพื่อให้เพลงเกิด เพื่อให้อัลบั้มมีขาเดินหน้าต่อไปได้ ในเวลาเดียวกัน พอเราทำในสิ่งนี้ ชีวิตส่วนตัวมันก็อาจหายไปบ้าง

 

พูดง่ายๆ น้อยไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ แต่น้อยทำเพื่อเพลงและทำเพื่อแฟนเพลง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเพลง ไม่ใช่ศิลปิน น้อยมักจะพูดเสมอว่าอีกสักประมาณ 30 ปีน้อยก็คงตายแล้ว แต่ถ้าเราทำผลงานได้ดี ผลงานมันจะอยู่ได้นานกว่าเรา ทุกเพลงมันก็เหมือนลูกของเรา น้อยก็เลยอยากจะดูแลและทำเพื่อเขาให้มากที่สุด  

 

 

ถึงจุดนี้แล้วคิดว่าคุ้มค่าไหมกับการเดินทางตลอด 12 ปีที่ผ่านมา

มันก็เหมือนที่เขาพูดกันว่า Enjoy the journey, not just the destination. มีความสุขกับการเดินทางมันสำคัญมากกว่าเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้น้อยก็แฮปปี้นะ น้อยก็ทำได้ดีที่สุดแล้วกับ 12 เพลงนี้ที่ส่วนมากต้องทำเองจริงๆ ก็ต้องขอบคุณคนที่มาช่วยน้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็น โหน่ง (วิชญ์ วัฒนศัพท์) วง The Photo Sticker Machine ที่เป็นโค-โปรดิวเซอร์ให้กับน้อย รวมไปถึงนักดนตรีอีกหลายคน ซึ่งน้อยก็ภูมิใจกับลูกน้อยทุกเพลง ส่วนคนจะรักเขาหรือไม่รักก็ขอให้ลองฟังดูก่อน But I did my best. (ยิ้ม)

 

แล้วลูกแท้ๆ สองคนของคุณล่ะ เขามีฟีดแบ็กอย่างไรกับงานของพ่อบ้าง เคยฟังเพลงที่พ่อร้องไหม คุณเคยพาลูกไปดูโชว์ของคุณบ้างหรือเปล่า

ครั้งแรกที่เขาเห็นน้อยขึ้นเวที เวลาเราร้องเพลงเศร้าๆ อย่าง ทุกสิ่ง ซึ่งมันจะมีช่วงที่น้อยอาจจะอิมโพรไวส์ “น่าาาา น๊าาาาา” (ร้องให้ฟัง) พอเห็นเราร้องแบบนั้นเขาก็ร้องไห้ เพราะตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ นึกว่าพ่อกำลังเจ็บปวด แต่ตอนนี้เขาก็เข้าใจว่าพ่อเป็นนักร้อง เป็นนักแสดง แต่หนังน้อยส่วนมากที่แรงๆ เขาก็จะดูไม่ได้ (หัวเราะ) หรืออย่างเวลาออกไปข้างนอกแล้วมีคนมาถ่ายภาพด้วย น้อยก็จะบอกเขาว่า “Daddy is a little bit famous, only people.”

 

ความจริงมันไม่ใช่แค่ลูกนะฮะ แต่รวมถึงภรรยาของเราด้วย จริงๆ ภรรยาเขาเข้าใจน้อยอยู่แล้ว ล่าสุดน้อยเพิ่งได้ดูบทสัมภาษณ์นักแสดงที่เขาพูดถึงหนังต่างประเทศ เนื้อหาเกี่ยวกับคู่สามี-ภรรยาที่เวลาไปออกงานที่ไหนสามีก็มักจะได้ซีนไปหมด เพราะเขาแต่งงานกับคนดัง ในหนังมันจะมีไดอะล็อกที่เขาพูดว่า “I feel invisible when I’m with you sometimes.” ซึ่งบางทีน้อยก็ต้องเป็นห่วง อย่าลืมภรรยาเราด้วยเวลาไปไหน แต่ส่วนมากเขาเข้าใจอยู่แล้ว ก็ถ่ายภาพไปเถอะ แต่น้อยว่าก็ต้องนิดหน่อย เพราะเราไม่อยากให้ครอบครัวรู้สึก invisible อย่างลูกสาวน้อยเขาไม่อยากถ่ายภาพ (หัวเราะ) เพราะเขาเป็นคนที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก เขาค่อนข้างแข็งแกร่งเหมือนคุณแม่

 

 

สรุปว่าภรรยาเข้าใจเราใช่ไหม

ภรรยาเขาเข้าใจน้อยฮะ เพราะเขาอยู่กับน้อยมาตั้งแต่ก่อนออกอัลบั้มชุดแรกด้วยซ้ำ เขาก็เห็นการเติบโตของเราในวงการนี้ เขารู้ว่าปมด้อยเราคืออะไร ความอ่อนแอของเราคือตรงไหน เขาก็จะคอยเป็น support system ให้กับเรา เขาคงเห็นจนชินแล้วมั้ง เวลาเราเล่นคอนเสิร์ตไม่ดีแล้วก็กลับมาเศร้า เสร็จแล้วเขาก็จะคอยปลอบว่าอย่าไปคิดมาก (หัวเราะ) จริงๆ น้อยก็เริ่มเบื่อตัวเองเหมือนกันนะกับการที่ยังชอบคิดมากอยู่

 

เหมือนอย่างที่คุณเคยบอกภรรยาไว้ว่า “ต้องเตรียมตัวนะ เพราะถ้าอัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จ คุณคงจะเศร้าไปอีกสัก 2-3 เดือน”

ใช่ๆ (หัวเราะ) น้อยบอกว่ายูต้องเตรียมตัว ภรรยาน้อยเขาเป็นคนโพสิทีฟนะ เขาก็จะบอกว่า “No, it will work you try so hard.” เขาก็ลุ้นไปกับเราอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะไม่เวิร์ก แต่น้อยก็ยังมีงานทำ น้อยยังมีโรงแรมต้องบริหาร น้อยยังมีครอบครัว

 

(คิด) ถึงแม้ว่าช่วงเวลาทำงานของน้อยอาจจะไม่เหมือนคนอื่น บางทีก่อนออกจากบ้าน ถ้าเป็นช่วงกลางคืนที่ต้องไปเล่นโชว์ น้อยก็บอกกับลูก “พ่อจะไปทำงานแล้วนะ” บางทีน้อยก็แต่งหน้าตัวเองก่อนขึ้นไปโชว์ ตอนอยู่หน้ากระจกบางทีน้อยก็ไม่อยากให้ลูกชายเข้าใจผิด (หัวเราะ) น้อยว่าศิลปินทุกคนไม่ว่าจะน้อยหรือแบรด พิตต์ ที่ก่อนจะออกจากบ้านไปขึ้นโชว์มันก็ต้องซับหน้ากันหน่อย (หัวเราะ)

 

บางทีซับหน้าไป น้อยก็หันไปถามเขาว่า Do I look good? หรือแต่งหน้าแบบนี้มันเยอะไปหรือเปล่า เขาก็จะบอกกลับมาว่า It’s okay, that’s cool. แล้วก่อนออกจากบ้านเราก็จะบอกเขา Good night ส่วนเราก็เตรียมตัวออกไปร็อก (หัวเราะ) น้อยว่าตัวเองโชคดีนะที่มีงานแบบนี้

 

 

ตอนนี้ลูกชายโตพอสมควรแล้ว เขาน่าจะได้เห็นคุณโชว์แบบร็อกๆ สักครั้งนะ

ก็ควรไปสักครั้ง แต่บางทีก็ไม่อยาก เพราะน้อยจะตื่นเต้น จริงๆ น้อยไม่ชอบให้ครอบครัว พี่น้อง หรือคุณแม่มาดู แฟนก็ไม่ชอบให้มาดู เพราะกลัวว่าเขาจะตำหนิทีหลัง (หัวเราะ) ชอบคิดว่าถ้าเขามาดูแล้วเราจะต้องทำให้ดี มันยิ่งสร้างความกดดันให้กับตัวเอง

 

เขาเคยตำหนินะ แล้วน้อยก็เจ็บมากเลย จำได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตหนึ่งที่น้อยซึ้งมาก แล้วพอโชว์เสร็จเขาก็พูดประมาณว่า I don’t like it when you cry. It’s too much. น้อยก็แบบ What!

 

ภรรยาเขาก็บอกกลับมาว่ายูชอบร้องไห้ แค่ครึ่งเพลงยูร้องไห้แล้ว ซึ่งน้อยก็เข้าใจนะ สำหรับบางคนเราอาจจะดูเยอะ เพราะทุกอย่างมันต้องกำลังดี แต่ตอนนั้น I very failed. It’s too much. ถ้างั้นยูไม่ต้องมาดูแล้ว เพราะได้ยินแล้วมันเจ็บ (หัวเราะ)  

 

ขอจบแบบนี้แล้วกัน หลังจากผ่านงานทำอัลบั้มเดียวของตัวเองมา 12 ปี คุณคิดว่าการทำเพลงกับการทำโรงแรม อย่างไหนง่ายหรือยากกว่ากัน  

การเป็นศิลปินมันยากตรงที่เราก็เป็นมนุษย์ เป็นโปรดักต์หนึ่งที่คนจะตัดสินเรา ตรงจุดนั้นมันยากเหมือนกันสำหรับการเป็นศิลปินที่เซนสิทีฟ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วทุกอย่างมันง่าย หน้าที่เรามันง่ายมาก เราแค่ซ้อมดนตรีในห้องซ้อม มีงานในผับ หรือเวลาเล่นคอนเสิร์ตก็มีคนรับเราไปขึ้นรถ พอโชว์เสร็จก็มีคนมาให้เงินเรากลับบ้าน

 

แต่การทำโรงแรมทุนมันมหาศาล เหมือนอย่างที่น้อยเคยบอกว่าพอสร้างโรงแรมเสร็จมันจะอยู่ไปตลอดกาล มันเป็น structure ที่อยู่ตลอดชีวิต แล้วเราก็สร้างเพื่อครอบครัวด้วย มันมีความรับผิดชอบอย่างสูง ต้องบริหาร ต้องแก้ปัญหา ต้องดูแลพนักงาน ต้องดีลกับความรู้สึกคนเยอะมาก ซึ่งตรงนั้นน้อยไม่ค่อยชินสักเท่าไร การทำธุรกิจโรงแรมสำหรับน้อยมันเลยจะยากกว่าหน่อย

 

แต่สิ่งที่ใกล้เคียงกันและเป็นแพสชันที่น้อยอยากทำให้มันเกิดขึ้นคือการสร้างอารมณ์ความรู้สึก เช่น เวลาเราเดินเข้าไปในโรงแรมที่ดีหรือร้านอาหารที่ดี เราจะรู้สึกชอบ รู้สึกดี รู้สึกว่าโรงแรมนี้มันมีจิตวิญญาณอะไรบางอย่าง น้อยคิดว่าสิ่งเหล่านี้น้อยทำมันได้ดี นั่นคือเราสร้างวิญญาณให้กับสถานที่นั้นได้

 

เช่นเดียวกับการสร้างวิญญาณในบทเพลง การสร้างอารมณ์ในคอนเสิร์ต มันก็เป็นการสร้างที่ยาก เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แล้วมันไม่ได้ไม่หมายความว่าจะเวิร์กทุกครั้งด้วยนะ แต่ถ้าคุณตั้งใจและทำมันออกมาได้ดี ผลงานชิ้นนั้นก็จะ timeless จะอยู่ได้นาน จะไม่ล้าสมัย เหมือนอย่างที่น้อยพูดเสมอว่าผลงานที่ดีมันจะอยู่ได้นานกว่าชีวิตเราเสมอ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

FYI
  • น้อย วงพรู เริ่มต้นเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องนำของ ‘วงพรู’ วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อกในยุค 90s ที่โด่งดังในระดับตำนานด้วยดนตรีที่แตกต่าง สำคัญที่สุดคือคาแรกเตอร์บนเวที ทั้งการร้อง การเต้น จังหวะเอ็นเตอร์เทนที่เต็มไปด้วยลีลาเป็นเอกลักษณ์ ส่งให้น้อยได้รับการจดจำในฐานะศิลปินที่เฟอร์ฟอร์มดีที่สุดตลอดกาล
  • วงพรูมีผลงานออกมา 2 สตูดิโออัลบั้ม ซึ่งมันเต็มไปด้วยเพลงและซาวด์ดนตรีที่ยอดเยี่ยม ความโด่งดังโดยเฉพาะกับอัลบั้มแรก (Pru, 2544) ที่เกือบทั้งอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงฮิต ส่งให้ในช่วงปี 2545 วงพรูได้รับรางวัลศิลปินไทยยอดนิยมจาก MTV Asia Awards 2002 แต่หลังจากความล้มเหลวของสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 (Zero, 2547) ใน 3 ปีต่อมา สมาชิกทั้ง 4 คนก็ช็อกแฟนเพลงด้วยการตัดสินใจยุบวง
  • หลังจากนั้นน้อย วงพรู สร้างตัวตนใหม่ของเขาบนโลกภาพยนตร์ผ่านผลงานการแสดง และเริ่มต้นสร้างโรงแรม The Siam ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทั้งงดงามและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์
  • ขณะเดียวกันไฟกับงานดนตรีก็ไม่เคยหมด ตลอด 12 ปีนับตั้งแต่วงพรูประกาศยุบวง น้อยก็ซุ่มทำงานเพลงสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมาตลอด กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งเปิดตัวซิงเกิลแรก ‘แด่ศาลที่เคารพ’ และมีแผนจะปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลงแรก ซึ่งกำกับโดย โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เคยร่วมงานกับน้อยทั้งใน อันธพาล (2555) ในบทบาท จ๊อด เฮาดี้ และ ขุนพันธ์ (2559) ในบทบาท จอมโจรอัลฮาวียะลู
  • ผลงานเดี่ยวชุดแรกของน้อย วงพรู จะมีทั้งหมด 12 เพลง ซึ่งเขามีส่วนในแทบทุกกระบวนการ โดยได้ โหน่ง (วิชญ วัฒนศัพท์) จากวง The Photo Sticker Machine เป็นโค-โปรดิวเซอร์ดูแลในส่วนของดนตรี ด้านเนื้อร้อง น้อยเป็นผู้เขียนเพลงในภาคภาษาอังกฤษ ก่อนที่แต่ละบทเพลงจะถูกเรียบเรียงใหม่อีกครั้งเป็นเนื้อเพลงภาษาไทยผ่านฝีมือของศิลปินและนักแต่งเพลงชื่อดังอย่างบอย โกสิยพงษ์, บอย-ตรัย ภูมิรัตน, แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข และอภิชา สุขแสงเพ็ชร (ต๋อง The Begins) ล่าสุดคาดว่าอัลบั้มเต็มจะวางจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า (2562)
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising