วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2
เมื่อเวลา 09.15 น. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ของบิดานายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน เป็นเวลา 100 นาที
รังสิมันต์กล่าวเห็นว่า เนื่องจากนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและคนในครอบครัว สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประเทศและบ่อนทำลายหลักนิติรัฐจนประชาชนเสื่อมศรัทธา ในกระบวนการยุติธรรม ตอกย้ำความเชื่อว่าคุกมีไว้ขังคนจน อีกทั้งยังได้กระทำความผิดทางอาญาอย่างร้ายแรง จากการสมคบคิด สร้างระบอบอภิสิทธิ์ชนเหนือกฎหมาย
รังสิมันต์กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วผู้มีอำนาจในเวลานั้นได้ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้บิดาของนายกรัฐมนตรีอาศัยในประเทศ โดยไม่สนใจว่ากฎหมายของบ้านเมืองจะเสียหายอย่างไร แต่ไม่น่าเชื่อว่าในวันนี้นายกรัฐมนตรีได้เป็นส่วนหนึ่งดีลปีศาจแลกประเทศ ที่ทำทุกอย่างโดยไม่สนหลักนิติรัฐ นิติธรรม เพียงเพื่อให้บิดาได้กลับบ้าน
รังสิมันต์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต่อกรณีชั้น 14 นั้น ตนเองอดสงสัยถึงการกระทำในอดีตของครอบครัวนายกรัฐมนตรีว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเคยชูทางนำ แท้จริงแล้วเป็นการสู้เพื่อให้ได้อำนาจกลับมาเป็นของประชาชนจริงหรือไม่ หรือตลอดมาเป็นการต่อรองทางการเมืองเพื่อให้บิดากลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องจำคุก
กรณีชั้น 14 คือความฉิบหายของหลักนิติรัฐ เป็นการพังทลายของกฎหมายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน เพราะเป็นการสูญสิ้นกติกาของบ้านเมือง ใช้เส้นสายในการปกครองบ้านเมืองโดยผลประโยชน์ของชาติและประชาชนไปแลกกับผลประโยชน์ของครอบครัว นี่คือความเร็วร้ายของระบบการเมืองการปกครอง ของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ แพทองธาร ชินวัตร ได้ก่อขึ้น
“แพทองธาร คือ นายกรัฐมนตรีไทย ท่านต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคนให้ได้ ต้องเห็นถึงผลประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจนแล้วว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่เลย ทั้งยังได้สมทบกับพวกอำนาจมืดเพื่ออำนวยความสบายของบิดา และเป็นผู้จัดการในการปกปิดความผิดจากชั้น 14 สร้างมหากาพย์แห่งการหลอกลวงโป้ปดเพียงเพื่อให้บิดาได้กลับมามีส่วนร่วมในการแบ่งอำนาจ”
รังสิมันต์กล่าวว่า ครอบครัวชินวัตรทราบดีว่าราคาที่ประเทศไทยต้องจ่าย เพื่อให้ครอบครัวอยู่เหนือกฎหมายนั้นราคาแพงแค่ไหน ซึ่งต้องจ่ายด้วยการพังทลายของหลักนิติรัฐ และจ่ายด้วยพัฒนาการทางประชาธิปไตยที่ไม่มีวันเกิดขึ้น รวมถึงการแตะโครงสร้างอำนาจมืดได้อีก ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 31 คน เป็นคนในตระกูลชินวัตรถึง 4 คน และได้ใช้ชื่อเสียงเกียรติยศความไว้วางใจของประชาชน ทิ้งไว้กับกรณีชั้น 14 และเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำที่เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อตัวเอง
“อยากจะขอให้นายกรัฐมนตรีใช้โอกาสนี้ในการสารภาพในความผิดที่ตัวเองได้ก่อเพื่อความชั่วช้าที่ทำขึ้นทุเลาเบาบางลง แต่หากเลือกหนีความจริง ขอให้รู้ว่าชั้น 14 จะเป็นความอัปลักษณ์ตราตรึงในชีวิตของอีกนานเท่านาน” รังสิมันต์กล่าว
ตลอดการอภิปรายของรังสิมันต์มีการประท้วงโดย องครักษ์พิทักษ์ข้อบังคับการประชุมของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น 16 ครั้ง นำโดย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส. บัญชีรายชื่อ, นุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส. ศรีสะเกษ, ก่อแก้ว พิกุลทอง, ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เข้ามานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีบนบัลลังก์ในห้องประชุมสุริยัน เพื่อรับฟังการอภิปรายครั้งนี้ด้วย จากนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลุกขึ้นชี้แจงถึงสิ่งที่ถูกพาดพิงด้วย