×

ครบรอบ 26 ปีอัลบั้ม ‘Nevermind’ กับเบื้องหลังที่วง Nirvana อาจไม่เคยบอก

24.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • มาดูเบื้องหลังและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานของ Nevermind ก่อนที่ตำนานในวงการเพลงจะถือกำเนิดไปพร้อมกัน
  • “พวกเขาเล่นได้แน่นนรกแตก คนพวกนี้ไม่ใช่นักดนตรีขี้เกียจ พวกเขาต้องการทำอัลบั้มออกมาให้เจ๋งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดฟ โกรห์ล บอกกับผมภายหลังว่า ในเวลา 6 เดือนก่อนอัดอัลบั้ม Nevermind วงนัดกันซ้อมดนตรีทุกวัน”
  • เคิร์ต โคเบน เป็นมันสมองหลักของ Nirvana ผู้สร้างสรรค์บทเพลงชิ้นโบแดงประดับโลกใบนี้มากมาย เสียงร้องของเขามีพลังถึงขนาดบ็อบ ดีแลน เคยเอ่ยปากชมว่า “เด็กหนุ่มคนนี้มีจิตวิญญาณ” แต่การทำงานร่วมกับ เคิร์ตไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับศิลปินทั่วไป

     24 กันยายน 1991 หรือ 20 ปีที่แล้ว อัลบั้ม Nevermind ของ Nirvana ออกวางจำหน่ายเป็นวันแรก

     อัลบั้ม Nevermind มักถูกยกย่องในฐานะ ‘อัลบั้มที่เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไปตลอดกาล’ เดิมที 3 สมาชิก Nirvana ไม่ได้คิดว่าอัลบั้มชุดนี้จะประสบความสำเร็จถึงขั้นเป็นปรากฏการณ์ แต่เมื่อซิงเกิล Smells Like Teen Spirit ได้รับการผลักดันจาก MTV สื่อโทรทัศน์ที่มีอิทธิพลในขณะนั้น มันได้ส่งผลให้อัลบั้ม Nevermind ไปสู่จุดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นั่นก็คือการเบียดผลงานเพลงป๊อประดับพระกาฬอย่าง Dangerous ของไมเคิล แจ็คสัน ลงจากชาร์ต!

     แต่ทุกผลงานชิ้นเอกย่อมมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากบทเพลงดุเดือดเต็มไปด้วยพลังมหาศาลชนิดที่ทำให้คนเจเนอเรชันนั้นรับรู้สารร่วมกันได้แล้ว ที่มาและแรงผลักดันเบื้องหลังของอัลบั้มนี้ยังเป็นส่วนสำคัญเบื้องหลังคำตอบแห่งความสำเร็จเหล่านั้น บุช วิก (Butch Vig) โปรดิวเซอร์คู่ใจของวง เล่าหลายเรื่องเบื้องหลังและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานอัลบั้ม Nevermind ก่อนที่ตำนานในวงการเพลงอย่าง Nirvana จะถือกำเนิดไปพร้อมกัน

 

เคล็ด (ไม่) ลับวิธีการอัดเพลงอย่างรวดเร็ว

     Nirvana ไม่ได้มองเรื่องดนตรีเป็นเพียงงานอดิเรก ดังนั้นเมื่อได้เซ็นสัญญาทำอัลบั้ม Nevermind กับ DGC Records ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ มันคือโอกาสทองที่พวกเขาพร้อมที่จะเทหมดหน้าตัก (อัลบั้มแรก Bleach, 1989 สังกัด Sub Pop)

     บุชกล่าวว่า การทำงานกับวงหน้าใหม่อาจต้องใช้เวลานานในการอัดเพลง เพราะวงยังไม่มีประสบการณ์ในสตูดิโอ บางวงก็ขาดการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่กับ Nirvana พวกเขาเตรียมความพร้อมโดยซ้อมดนตรีกันทุกวันแบบไม่มีพัก การฝึกซ้อมของพวกเขาช่วยให้การทำงานอัลบั้ม Nevermind เป็นไปอย่างไหลลื่นและรวดเร็ว

     “พวกเขาเล่นได้แน่นนรกแตก คนพวกนี้ไม่ใช่นักดนตรีขี้เกียจ พวกเขาต้องการทำอัลบั้มออกมาให้เจ๋งเท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดฟ โกรห์ล (Dave Grohl) บอกกับผมภายหลังว่า ในเวลา 6 เดือนก่อนอัดอัลบั้ม Nevermind วงนัดกันซ้อมดนตรีทุกวัน เราถึงอัดเพลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ละเพลงอัดมากสุดเพียง 2-3 เทกเท่านั้นเอง”

 

Photo: www.fuse.tv

 

การไล่สมาชิกที่ไม่ดีพอออกจากวง

     ก่อนที่จะเลือกเดฟ โกรห์ล เป็นมือกลองประจำวง Nirvana ได้สับเปลี่ยนมือกลองไปแล้วหลายคนด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ แชด แชนนิง (Chad Channing) มือกลองผู้เคยมีบทบาทกับ Nirvana ในช่วงเริ่มต้นอัดอัลบั้ม Nevermind แต่เพราะ เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ไม่ถูกใจสไตล์การตีกลองของแชดจนเกิดปัญหาและความกดดันเกิดขึ้นในสตูดิโอ เป็นเหตุให้แชดต้องลาออกจาก Nirvana ในที่สุด

     บุชเล่าว่า “แชดตีกลองโอเคนะ แต่เขามักมีปัญหากับเคิร์ตที่ไม่พอใจสไตล์การตีกลองของแชด อย่างตอนอัดเพลง Sappy เคิร์ตบอกแชดว่า “นายตีแบบนั้นไม่ได้ ต้องเล่นแบบนี้สิ” เคิร์ตจะพยายามตีกลองให้แชดดูว่าต้องเล่นยังไง ซึ่งมันน่าหงุดหงิดแทนแชดเหมือนกัน เพราะเคิร์ตไม่ได้ตีกลองเก่งอะไรเลย ในขณะเดียวกันผมก็เข้าใจเคิร์ต เพราะแชดตีไม่ได้ตามจังหวะแบบที่เคิร์ตต้องการ”

     จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุชก็สัมผัสได้ถึงสงครามเย็นระหว่างแชดกับเคิร์ต และคาดเดาได้ว่าทั้งคู่คงลงเรือลำเดียวกันไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งแชดก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวง Nirvana อีกต่อไป เมื่อเคิร์ตโทรหาบุชเป็นการส่วนตัวและบอกว่า “เฮ้! บุช วงเราเปลี่ยนมือกลองคนใหม่แล้วนะ เขามีชื่อว่า เดฟ โกรห์ล หมอนี่คือมือกลองที่ดีที่สุดในโลก เขาจะเล่นเพลงใหม่ร่วมกับพวกเรา”  

 

Photo: read.tidal.com

 

การรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของเคิร์ต โคเบน

     เคิร์ตเป็นมันสมองหลักของ Nirvana ผู้สร้างสรรค์บทเพลงชิ้นโบแดงประดับโลกใบนี้มากมาย เสียงร้องของเขามีพลังถึงขนาดบ็อบ ดีแลน เคยเอ่ยปากชมว่า “เด็กหนุ่มคนนี้มีจิตวิญญาณ” แต่การทำงานร่วมกับเคิร์ตไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับศิลปินทั่วไป เคิร์ตมีบุคลิกที่เดาทางไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับโปรดิวเซอร์และเพื่อนร่วมวงตลอดการอัดอัลบั้มชุดนี้

     บุช วิก โปรดิวเซอร์คนเดิมให้สัมภาษณ์ไว้อีกครั้งว่า “เคิร์ตมีอารมณ์ที่แปรปรวน รับมือยาก บางทีเขาก็ชัตดาวน์ตัวเองไปเฉยๆ เขาชอบนั่งคนเดียวที่มุมห้องอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา คริสต์ โนโวเซลิก (Krist Novoselic) มือเบส Nirvana จะบอกกับผมเสมอว่า ปล่อยเคิร์ตไปเถอะ เดี๋ยวเขาก็หายเอง ผม คริสต์และเดฟเลยต้องหาอะไรทำเพื่อรอเขาคนเดียวหลายชั่วโมง ก่อนที่เคิร์ตจะเดินกลับมาหาแล้วพูดกับทุกคนว่า ‘ลุยต่อเถอะ’ แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับพลังมหาศาลแบบที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน”

     นอกเหนือจากอารมณ์แปรปรวนที่ยากจะคาดเดา เคิร์ตยังไม่ยอมอัดเสียงร้องทับ เนื่องจากกลัวว่าซาวด์ดนตรีจะออกมาเนี้ยบ ไม่เป็นธรรมชาติ ร้อนถึงบุชที่ ต้องเกลี้ยกล่อมโดยใช้ไอดอลของเคิร์ตเป็นตัวล่อ โดยบอกว่าจอห์น เลนนอน ก็ใช้เทคนิคนี้นะ ซึ่งภายหลังเคิร์ตก็ยอมอัดเสียงร้องทับแต่โดยดี

 

เดฟ โกรห์ล เกือบสูญเสียความมั่นใจ

     ใครจะไปเชื่อว่าร็อกสตาร์อย่างเดฟจะเคยสูญเสียความมั่นใจมาก่อน เพราะในช่วงที่เขาอัดกลองระหว่างอัลบั้มชุด Nevermind เขาเคยถูกบุชพูดแทงใจดำเรื่องความผิดพลาดของจังหวะการตีกลอง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยอมแพ้และลุยต่อจนอัดอัลบั้ม Nevermind จนเสร็จสมบูรณ์

     บุชเล่าเรื่องนี้เอาไว้ว่า “ระหว่างที่เราอัดเพลง Lithium ผมรู้สึกว่าซาวด์มันดูผิดเพี้ยน ทุกคนชอบเร่งจังหวะเพลงให้มันเร็วไป มันไม่ใช่ความผิดของเดฟเพียงคนเดียวหรอก มันคือความผิดของทุกคนในวงเลยต่างหาก แต่วันนั้นผมด่าเดฟว่า “นายเคยใช้เครื่องเคาะจังหวะบ้างหรือเปล่าวะ” มันกลายเป็นคำพูดแทงใจเขาอย่างแรง เมื่อเดฟกลับไปที่โรงแรม เขาถึงกับนอนไม่หลับ วันต่อมาเขาอัดกลองเพลงนี้อีกครั้งเพียงเทกเดียวโดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องเคาะจังหวะช่วยด้วยซ้ำ ซึ่งมันออกมาสมบูรณ์แบบอย่างเหลือเชื่อ”

 

Photo: RICHARD A. BROOKS/AFP

 

ทุกคนรู้สึกได้ว่า Nevermind จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล

     ก่อนที่อัลบั้มชุดนี้จะวางแผงอย่างเป็นทางการ บุชได้นำอัลบั้มชุดนี้ไปเปิดให้เพื่อนๆ ฟังที่งานปาร์ตี้บาร์บีคิว ในเวลานั้นเขาไม่รู้อะไรเลยว่าคนอื่นจะมีความคิดเห็นกับงานชุดนี้เป็นอย่างไร ถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจว่าอัลบั้มชุดนี้คือหนึ่งในผลงานที่เขาคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดที่เขาโปรดิวซ์มา

     “วันนั้นผมอยู่ในปาร์ตี้บาร์บีคิวกับเพื่อนๆ จนกระทั่งมีคนหนึ่งบอกผมว่า นายลองเปิดเพลง Nirvana ให้ทุกคนฟังสิ ผมเลยนำเทปอัลบั้ม Nevermind มาเปิดให้เพื่อนๆ ฟังในบรรยากาศปิกนิกสวนหลังบ้าน ปาร์ตี้นั้นมีคนประมาณ 30-40 คน ตอนที่เพลงกำลังเล่น ไม่มีคนพูดอะไรออกมาเลย ทุกคนดูเฉยๆ ผมรู้สึกเป็นกังวลมากเลย เมื่อเพลงจบก็มีคนบอกว่า ‘เปิดวนอีกรอบสิ’ ระหว่างนั้นก็เริ่มมีคนพูดว่า พระเจ้าช่วย อัลบั้มชุดนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล”

 

     ปฏิเสธไม่ได้ว่าในฐานะผู้เสพงานศิลป์ บางครั้งเราก็หลงลืมไปว่าความสมบูรณ์แบบที่เราเห็นตรงหน้านั้นไม่ได้ถูก ‘เสก’ ขึ้นมาเฉยๆ แต่มันต้องผ่านการเคี่ยวกรำ แลกมาด้วยความพยายามและหยาดเหงื่อเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่หล่อหลอมความระทมทุกข์ และการหาความหมายของชีวิตที่ผู้คนร่วมเจเนอเรชันนั้นต่างรับรู้ร่วมกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเมื่อศิลปินได้เสียสละส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นภาพสะท้อนความหมายร่วมแห่งการมีขีวิตอยู่ ผลงานนั้นจึงขึ้นหิ้งเป็นอมตะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  

 

 

Cover Photo: www.alternativenation.net

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising