×

เนย์มาร์ สุดยอดนักเตะระดับโลกหรือพระเอกละครลูกหนัง?

29.11.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • เกมนี้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป็นทีมที่ดีกว่าลิเวอร์พูล และพวกเขาคู่ควรต่อชัยชนะ
  • 3 ประสานเกมรุก เนย์มาร์, คีเลียน เอ็มบัปเป้, เอดินสัน คาวานี คือ ‘ตรีศูล’ ที่ร้ายกาจที่สุดในเกมฟุตบอลยามนี้
  • เนย์มาร์ พยายามแสดงให้เห็นถึงลูกเล่น กลเม็ดเด็ดพรายที่งัดมาโชว์ทุกรูปแบบ การจะหยุดเนย์มาร์เพียงลำพังนั้นเป็นไปแทบไม่ได้ ขณะที่อีกด้าน เนย์มาร์พยายามเล่นละครลูกหนังให้ดูหลายต่อหลายฉาก จนทำให้ผู้ที่ได้ชมเกมนี้ต้องเกิดความรู้สึกบางอย่าง

อาจเพราะเป็นช่วงเวลาใกล้ย่ำรุ่ง ความอ่อนล้าทางกายอาจทำให้ผมสับสนในสิ่งที่เห็นว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด

 

ที่เห็นและเป็นอยู่นั้นใช่เกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ระหว่างเปแอสเชกับลิเวอร์พูลไหม หรือนั่นคือฉากหนึ่งในละครเมโลดราม่าสักเรื่องที่นักแสดงกำลังถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการแสดงที่เข้มข้น จริงจัง จนเราสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แรงกล้าของตัวละครนั้น

 

โดยเฉพาะเหล่านักแสดงในชุดสีขาว – ชุดที่พวกเขาเลือกจะใส่ลงสนามทั้งๆ ที่ไม่ใช่เสื้อชุดเหย้าของทีม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางโชคลางหรือเหตุผลทางการตลาดก็ตาม (เพราะนั่นคือชุดพิเศษที่พวกเขาผลิตขึ้นภายใต้แบรนด์ของไมเคิล จอร์แดน เป็นกรณีพิเศษ)

 

ประเดี๋ยวคนนั้นถูกปะทะลงไปร่วงกอง ประเดี๋ยวคนนี้ลงไปนอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด สักพักคนนู้นแผดเสียงใส่ชายคนกลางที่ทำหน้าที่ตัดสินเกมด้วยเห็นต่างในการตัดสิน

 

 

90 นาทีที่ปาร์ก เดส์ แพรงส์ เราได้เห็นสิ่งเหล่านี้มากมายครับ

 

มากจนเจอร์เกน คล็อปป์ ถึงกับโอดครวญว่านักเตะปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทำให้ลูกทีมของเขามีสภาพไม่ต่างอะไรจากพ่อค้าร้านเนื้อ ดูโหดร้าย เลือดเย็น เชือดและสับได้อย่างไม่รู้สึกรู้สา ราวกับก้อนเนื้อที่อยู่กลางอกนั้นเป็นเพียงแค่มัดกล้ามที่มีหน้าที่ในการสูบฉีดเลือด ไม่มีผลต่อความคิดและจิตใจใดๆ

 

แต่หากตัดภาพมายาคตินั้นทิ้ง สิ่งที่เป็นความจริงที่ชัดเจนคือวันนี้ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป็นทีมที่ดีกว่า และพวกเขาคู่ควรต่อชัยชนะที่ได้รับ

 

ลิเวอร์พูล ทีมรองแชมป์ของรายการนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทีมอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ ไม่ใช่คู่ต่อกรของพวกเขา

 

โดยเฉพาะในวันที่นักเตะปารีเซียงเตรียมตัวและเตรียมใจมาเป็นอย่างดี

 

บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในเกมนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ในวันนั้นลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้อย่างมหัศจรรย์ ในเกมที่สนุกและตื่นเต้นมากที่สุดนัดหนึ่งของแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลนี้

 

นักเตะในชุดแดงเพลิงเปิดเกมสู้กับเปแอสเชได้อย่างเร้าใจ พวกเขาเกือบจะเพลี่ยงพล้ำก็จริงเมื่อปล่อยให้อาคันตุกะไล่ตามจากตามหลัง 2-0 มาเป็นการเสมอ 2-2 ได้ในช่วงก่อนหมดเวลาเพียงแค่ 7 นาที

 

แต่ก่อนสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย โรแบร์โต เฟอร์มิโน ซึ่งมีอาการบาดเจ็บที่ตาและผ่านการทดสอบร่างกายจนพร้อมลงสนามอย่างหวุดหวิด ลงมาเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายและเป็นผู้ทำประตูชัยให้เดอะ ค็อป ทั่วโลกได้ร้องเฮกันกระหึ่ม

 

วันนั้นเปแอสเชไม่ได้เตรียมตัวดีนัก ในกลยุทธ์การเล่นพวกเขาเต็มไปด้วยช่องว่างและช่องโหว่ที่สามารถเข้าจู่โจมเล่นงานได้

 

ไม่ต้องพูดถึงการเตรียมใจ พวกเขาคุ้นชินกับชัยชนะในลีกที่ได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก (และทุกวันนี้ก็ยังสะกดเป็นแต่คำว่าชนะ) นักเตะปารีเซียงไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ปราดเปรียว และพร้อมจู่โจมใส่ทุกวินาทีเหมือนเสือที่อดอยากจากเนื้อมานาน

 

ความพ่ายแพ้ในวันนั้นของเปแอสเช ไม่เพียงแต่จะมอบความเจ็บปวดและเสียหน้า มันยังมอบบทเรียนล้ำค่าให้พวกเขาอีกด้วย

 

บางครั้งชัยชนะก็ไม่จำเป็นต้องสวยหรูมลังเมลืองเหมือนในละครเพลง

 

ละครน้ำเน่าก็ให้ความสุขกับทุกคนได้ ถ้าเราแสดงได้ดีเข้าถึงบทมากพอ

 

ในวันนี้เปแอสเชเตรียมตัวและเตรียมใจมาเป็นอย่างดี พวกเขามาพร้อมกับเป้าหมายเดียวคือชัยชนะ และชุดความคิดง่ายๆ ว่าพวกเขาต้องเดินกลับจากสนามในฐานะผู้มีชัยให้ได้แบบไร้เงื่อนไข

 

ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม

 

นั่นเป็นที่มาของการ ‘เล่นใหญ่’ ของนักเตะเปแอสเชแทบทุกคนในสนาม นอกจากการแสดงฝีเท้าในสนามแล้ว พวกเขาก็ยังแสดงอีกด้านของการเล่นให้เห็น

 

มันอาจดูคล้ายเป็นการเล่นละคร แต่ในอีกทางมันคือการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ต้องการจะเป็นผู้ชนะ

 

 

ในเชิงของฝีเท้า พวกเขาเหนือกว่าอยู่แล้วใครก็รู้ โดยเฉพาะในพื้นที่แดนหน้าและแดนกลาง

 

3 ประสานเกมรุก เนย์มาร์, คิเลียน เอ็มบัปเป, เอดินสัน คาวานี คือ ‘ตรีศูล’ ที่ร้ายกาจที่สุดในเกมฟุตบอลยามนี้

 

ขณะที่ 3 ประสานในแดนกลาง มาร์โก แวร์รัตติ, มาร์ควินญอส และอังเคล ดิ มาเรีย กระบวนท่าและเชิงบอลเหนือกว่านักเตะของลิเวอร์พูลทุกคน

 

โดยเฉพาะพื้นที่ตรงกลางสนามที่กลายเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างระหว่างทั้งสองทีมอย่างชัดเจน เมื่อแดนกลางของลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จินี ไวจ์นาลดุม หรือ เจมส์ มิลเนอร์ แทบทำอะไรไม่ได้

 

พวกเขาช้าเกินไป เก่งน้อยไป และกลัวมากเกินไป

 

มันทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถยืนหยัดลุกขึ้นสู้ได้ดีและสูสีกว่านี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาเคยทำได้เป็นเรื่องปกติ

 

โดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงคู่แข่ง ปฏิเสธได้ยากว่าลิเวอร์พูลวันนี้ แตกต่างจากลิเวอร์พูลที่เอาชนะเปแอสเชได้ในเกมแรก สไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ถูกเปลี่ยนไปจากเดิม

 

ว่ากันว่าเป็นเพราะการเสีย 2 ประตูให้เปแอสเช รวมถึงในเกมรอบรองชนะเลิศกับโรมา เมื่อฤดูกาลที่แล้วจนเกือบเสียผลการแข่งขัน มีส่วนทำให้ คล็อปป์ ตัดสินใจปรับสไตล์ใหม่เน้นความรัดกุมมากขึ้น

 

สิ่งที่ได้รับจากการปรับสไตล์คือความเหนียวแน่น มั่นคง พวกเขาเก็บผลการแข่งขันได้ตามเป้าเกือบทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาด้วยคือจุดเด่นที่หายไปอย่างเห็นได้ชัด และนั่นกลายเป็นผลร้ายในเกมนี้ไปด้วย

 

เมื่อลิเวอร์พูลไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็เป็นโอกาสของเปแอสเชที่จะได้แสดงให้เห็นถึงตัวตนและฝีเท้าที่แท้จริง

 

โดยเฉพาะเนย์มาร์ บุคคลที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้งมากที่สุดในสนาม

 

ด้านหนึ่ง เนย์มาร์พยายามแสดงให้เห็นถึงลูกเล่น กลเม็ดเด็ดพรายที่งัดมาโชว์ทุกรูปแบบ (รวมถึงการดีดบอลข้ามหัวในช่วงท้ายเกมที่ยากจะเข้าใจว่าคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อคิดว่านี่คือเนย์มาร์ก็พอจะเข้าใจ) ในฐานะที่เขาคือศูนย์กลางในเกมรุกของเปแอสเช

 

ด้วยชั้นเชิงการจะหยุดเนย์มาร์ร่างนี้เพียงลำพังนั้นเป็นไปแทบไม่ได้ หากคิดจะหยุดต้องมีมากกว่าหนึ่งที่มาช่วยกัน หรือไม่เช่นนั้นคือการยอมทำฟาวล์เพื่อหยุดความเสียหายก่อนจะไปไกลกว่านี้

 

ลิเวอร์พูลพลาดไปครั้งหนึ่งเมื่อปล่อยให้เขาเป็นคนเริ่มจังหวะการโต้กลับ ก่อนที่จะเป็นเขาที่เป็นผู้จบสกอร์เป็นคนสุดท้าย แต่นอกจากจังหวะนี้แล้วยังมีอีกหลายครั้งที่เขาเป็นเหมือนผู้นำฝูงหมาป่าที่ปรี่เข้าจู่โจมศัตรูด้วยหมายถึงชีวิต โดยมี คีเลียน เอ็มบัปเป้ เป็นลูกน้องคนสนิทที่มีทีเด็ดและไว้ใจได้เสมอ

 

ด้วยชั้นเชิงการจะหยุดเนย์มาร์ร่างนี้เพียงลำพังนั้นเป็นไปแทบไม่ได้ หากคิดจะหยุดต้องมีมากกว่าหนึ่งที่มาช่วยกัน หรือไม่เช่นนั้นคือการยอมทำฟาวล์เพื่อหยุดความเสียหายก่อนจะไปไกลกว่านี้

 

อีกหนึ่งด้าน เนย์มาร์พยายามเล่นละครลูกหนังให้ดูหลายต่อหลายฉาก แม้จะไม่ถึงกับมากจนยากจะทำใจยอมรับ แต่มันก็ไม่น้อยจนทำให้ผู้ที่ได้ชมเกมนี้ต้องเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา

 

ขึ้นอยู่กับว่าความรู้สึกนั้นจะรักหรือชังเท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะด้านใด สิ่งที่ทำให้เขาทำแบบนั้นคือความต้องการจะเป็นผู้ชนะ และเพื่อสิ่งนั้นเขาพร้อมจะทำทุกอย่าง เอาทุกทาง อะไรก็ได้ยอมทั้งนั้น

 

แม้กระทั่งการไล่กวดลงไปไล่บอลซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ

 

แม้กระทั่งการไปไล่หวดคู่ต่อสู้เพื่อหยุดเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเจ้าชายลูกหนังอย่างเนย์มาร์เล่นแบบนี้

 

เอ็มบัปเป้อาจรวดเร็วดุจสายฟ้า แวร์รัตติวาดภาพตรงกลางสนามได้งดงามราวกับเป็นปิกัสโซ ขณะที่ติอาโก ซิลวา ชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปตามวัยและเวลาด้วยหัวใจที่ห้าวหาญ

 

แต่ในเกมนี้เนย์มาร์คือคนที่ต้องกระทบกับแสง ไม่ว่าจะเป็นไฟจากสปอตไลต์หรือแสงจันทร์บนฟากฟ้า

 

เขาไม่เพียงแต่มีส่วนในชัยชนะของทีม หากแต่ยังนำเปแอสเชให้ก้าวเดินต่อไปสู่การเป็นอีกขั้นของยอดทีมของยุโรปที่แท้จริง

 

ทีมที่เลิกใจเสาะ ทีมที่แกร่งทั้งฝีเท้าและจิตใจ ทีมที่พร้อมทำอะไรก็ได้เพื่อชัยชนะ

 

แม้จะไม่มีใครรู้ว่าฟอร์มการเล่นในวันนี้แทนคำตอบต่อกระแสข่าวลือว่าเขาจะย้ายกลับไปบาร์เซโลนาในฤดูกาลหน้าหรือไม่

 

มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเวลานี้ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป เนย์มาร์และเปแอสเชขอแค่ได้ปรีดากับชัยชนะที่ล้ำค่าของพวกเขาก่อนพอแล้ว

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

FYI
  • ชัยชนะของเปแอสเช ในเกมนี้ทำให้พวกเขามีโอกาสสูงที่จะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ขอแค่ชนะในเยือนเรดสตาร์ เบลเกรด ในเกมสุดท้าย หรือหากเสมอและลิเวอร์พูลไม่ชนะก็เข้ารอบทันทีเช่นกัน
  • ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสผ่านเข้ารอบหากชนะนาโปลี ด้วยสกอร์ 1-0 ในเกมสุดท้าย หรือหากถูกทำประตูได้จะต้องยิงให้ได้ผลต่างมากกว่า 2 ลูกเท่านั้น
  • ความพ่ายแพ้ที่ ปาร์ค เดส์ แพรงซ์ ทำให้ลิเวอร์พูล แพ้เกมเยือนในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ทั้ง 3 นัดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ทั้งๆที่ในฤดูกาลที่แล้ว กว่าจะแพ้นัดแรกคือเกมรอบรองชนะเลิศนัดที่ 2 กับโรมา
  • ในเกมนี้ เนย์มาร์ ทำสถิติ ‘มากที่สุด’ หลายเรื่อง ทั้ง สัมผัสบอลมากที่สุด (83 ครั้ง), เรียกฟาวล์มากที่สุด (6), ยิงมากที่สุด (4), ยิงเข้ากรอบมากที่สุด (3)
  • เจมส์ มิลเนอร์ สูญเสียสถิติสำคัญไป หลังจากที่ตลอดชีวิตการเล่น 52 นัดก่อนหน้านี้หากเขาทำประตูได้ทีมจะไม่เคยแพ้ในพรีเมียร์ลีก และแชมเปียนส์ ลีก นัดนี้เป็นครั้งแรกที่ มิลเนอร์ ทำประตูได้แต่ทีมแพ้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising