ข่าวการอำลาบาร์เซโลนาของ หลุยส์ ซัวเรซ ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตอะไรมากมายนัก เมื่อเทียบกับข่าวช่วงที่ ลิโอเนล เมสซี ประกาศขออำลาสโมสรเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็นับเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่แฟนฟุตบอลอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าบาร์เซโลนิสตาที่ทำใจยอมรับได้ลำบาก
เพราะการจากไปของดาวยิงชาวอุรุกวัยไม่ต่างอะไรจากการปิดฉากตำนาน ‘MSN’ สามประสานสุดเทพที่เคยเขย่าโลกลูกหนังทั้งใบมาแล้ว
และการที่ดาวยิงเจ้าของสถิติทำประตูสูงสุดตลอดกาลเป็นลำดับที่ 3 ของสโมสร ต้องถูกขับออกจากทีมแบบน่าเศร้า เพราะถูกต้นสังกัดบีบให้ย้ายออกจากทีมด้วยเหตุผลเรื่องของอายุและความจำเป็นทางการเงินของสโมสรที่เข้าสู่ภาวะถังแตก ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้เคล้าน้ำตามากกว่าเดิม
นักเตะอย่างซัวเรซควรจะได้รับการอำลาที่ดีและสวยงามกว่านี้
ในฐานะผู้หนึ่งที่เคยร่วมสร้างความทรงจำและวันเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสร
กำเนิด MSN
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บาร์เซโลนาเคยมี 3 พ่อมดลูกหนังที่พร้อมจะแสดงอภินิหารให้แฟนๆ ได้ตื่นตาตื่นใจกันทุกวันที่มีการแข่งขัน
ประโยคข้างต้นคือสิ่งที่พ่อแม่ที่มอบหัวใจให้ยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลันสามารถนำไปเล่านิทานให้แก่ลูกหลานฟังได้ทุกคืนโดยไม่มีเบื่อ
จุดเริ่มต้นของนิทานเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนก่อนเข้าฤดูกาล 2014/15 เมื่อบาร์เซโลนาสามารถบรรลุข้อตกลงในการคว้าตัว หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าผู้เคยเกือบนำลิเวอร์พูลสร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ ก่อนที่ความผิดพลาดครั้งเดียวของ สตีเวน เจอร์ราร์ด จะทำให้ความฝันในวันนั้นสูญสลายไป
ซัวเรซ ซึ่งทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับทีมหงส์แดงในฤดูกาลดังกล่าว ขอย้ายออกจากทีมทันที ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับกัปตันอย่างเจอร์ราร์ด ที่พยายามเกลี้ยกล่อมดาวยิงเจ้าอารมณ์ให้อยู่ช่วยลิเวอร์พูลอีกหนึ่งฤดูกาลก่อน หากครบแล้วอยากจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ก็ไม่เป็นไร
สุดท้าย เอล ปิสโตเลโร ที่มีคดีอื้อฉาวจากฟุตบอลโลกที่ไป ‘งับ’ ใส่ จอร์โจ คิเอลลีนี ในฟุตบอลโลกที่บราซิล เลือกย้ายมาเล่นให้กับบาร์เซโลนา สุดยอดทีมในความฝันของนักเตะทุกคน และทำให้เกิดการพูดถึงโอกาสที่เกมฟุตบอลอาจจะได้เห็น 3 ประสานที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก
เพราะก่อนหน้าซัวเรซจะมา บาร์ซามี ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ และ เนย์มาร์ เจ้าชายลูกหนังจากบราซิลที่ถูกวางตัวเอาไว้ในเวลานั้นให้เป็นทายาทนักเตะเบอร์หนึ่งในอนาคตอยู่แล้ว
นั่นทำให้บาร์ซามีนักเตะที่เก่งที่สุดของ 3 ชาติในลาตินอเมริกา อยู่ในทีมเดียวกัน
อาร์เจนตินา บราซิล และอุรุกวัย!
เสียงคลิกครั้งแรก
สิ่งที่หลายคนอาจจำไม่ได้คือ การเริ่มต้นของ MSN ไม่ได้สวยงามอะไร
ซัวเรซลงสนามในเกมนัดแรกคือเกม ‘เอล กลาสิโก’ และนัดนั้นบาร์ซาพ่ายต่อเรอัล มาดริด แบบหมดรูป 1-3 และในช่วงแรกเห็นได้ชัดว่า การเล่นร่วมกันของเมสซี เนย์มาร์ ซัวเรซ ไม่ได้เข้ากันได้พอดีเหมือนช็อตเอสเพรสโซกับนมและฟองนมที่ออกมาเป็นคาปูชิโนแก้วกลมกล่อม
บาร์ซาตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนักจากผลงานที่สะดุดเป็นระยะ และใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่ทั้งสามจะเริ่ม ‘จูน’ กันติด โดยที่เก้าอี้ของ ‘ลูโช’ เอ็นริเก ร้อนจนแทบนั่งไม่ไหวแล้ว
แต่แล้วเอ็นริเกก็ค้นพบกับคำตอบบางอย่างที่นำไปสู่เสียงคลิกแรกของ MSN เกิดขึ้นในเกมลาลีกา ที่พวกเขาเอาชนะแอตเลติโก มาดริด ได้ 3-1
คำตอบที่ว่าคือ การไม่ต้องไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้มากมาย ปล่อยให้ทั้งสามได้เล่นตามใจตัวเอง แค่นั้น
ใครจะยืนซ้าย ยืนกลาง ยืนหน้า ถอยลงต่ำ ขยับขึ้นสูง ก็แล้วแต่เซนส์บอลจะพาไป
อิสระที่เกิดขึ้นเป็นการปลดปล่อยทั้งเมสซี เนย์มาร์ และซัวเรซ ให้เป็นอิสระ และทั้งสามก็ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง เมื่อร่วมผนึกกำลังกันถล่มประตูอย่างถล่มทลายชนิดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน ซึ่งแต่ละคนจะมีรายละเอียดที่แตกต่างในสไตล์การเล่นของตัวเอง
เมสซี สุขุม สร้างสรรค์เกม และหาจังหวะสังหารในแบบของตัวเอง
เนย์มาร์ เปี่ยมด้วยสีสัน จินตนาการ และสองบ่าที่แข็งแรงพอจะแบกความหวังของทีมได้
ซัวเรซ เกรี้ยวกราด ดุดัน ทุ่มเทให้ทีมแบบเต็มร้อย ไม่เคยยอมแพ้ใคร
สิ่งสำคัญที่สุดที่ร้อยรัดทั้งสามให้เป็นผ้าผืนเดียวกันคือ ‘มิตรภาพ’ ที่สวยงามของทั้งสามคน ที่เนย์มาร์ยังยอมรับในเวลาต่อมาว่า เขาคิดถึงการเล่นเคียงข้างเมสซีและซัวเรซ ซึ่งหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ บาร์เซโลนากลายเป็นทีมที่มาจากนอกโลก อยู่คนละมิติกับทีมอื่น หรือบางทีพวกเขาอาจเป็นทีมที่มาจากอนาคตเหมือน Tenet
แน่นอนว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม และสามประสานไม่ใช่ทั้งหมดของบาร์ซา พวกเขามี อันเดรส อิเนียสตา เป็นผู้ควบคุมจังหวะและถักทอการเล่นให้ในฤดูกาลแรกที่บาร์ซาไม่มี ชาบี เอร์นานเดซ ที่ประกาศอำลาทีมไปก่อนจบฤดูกาลนั้น โดยมี อิวาน ราคิติช เป็นลูกมือในแดนกลาง
อย่างไรก็ดี สามประสานแนวรุกนั้นมหัศจรรย์เกินกว่าที่จะมองข้ามได้
พวกเขาเปลี่ยนบาร์ซาจากทีมไม่ได้แชมป์สักรายการในฤดูกาล 2013/14 กลับมาคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาล 2014/15 ได้สำเร็จ โดยที่ทั้งสามทำประตูรวมกันได้มากถึง 122 ประตูในฤดูกาลเดียว!
โดยในนัดชิงชนะเลิศซัวเรซและเนย์มาร์ มีชื่อเป็นผู้ทำประตูใส่ยูเวนตุสได้ด้วย ขณะที่เมสซีไปคว้ารางวัลบัลลงดอร์สมัยที่ 5 ของตัวเอง
ภาพสุดท้ายของ MSN ก่อนที่เนย์มาร์ (ขวาสุด) จะย้ายออกจากทีม
ความมหัศจรรย์ที่สิ้นสุดลง
ความมหัศจรรย์ของ MSN ยังต่อเนื่องในฤดูกาลต่อมา
จากฤดูกาล 2014/15 ที่ทำได้ 122 ประตู ในฤดูกาลต่อมา 2015/16 พวกเขายิงได้เยอะกว่าเดิม ด้วยการทำได้ถึง 127 ประตู
บาร์ซาป้องกันแชมป์ลาลีกาได้ และคนที่โดดเด่นที่สุดคือซัวเรซ ที่ก้าวจากคนที่ทำประตูได้น้อยที่สุดใน MSN ในฤดูกาลก่อนหน้า มาเป็นคนที่ทำประตูได้สูงสุดในทีม
ซัวเรซยิงไปถึง 59 ประตูในฤดูกาลนั้น โดยในจำนวนนี้เป็นการยิงในลาลีกาถึง 40 ลูก เป็นสถิติที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริงที่อาจจะมีเพียงเมสซีและ คริสเตียโน โรนัลโด เท่านั้นที่สามารถจะสร้างสถิติได้ในระดับนี้
เพียงแต่สำหรับบาร์ซา พวกเขาเริ่มตกในความเสื่อม เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายถึงความเปราะบางของบาร์ซาได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความสมดุลที่เคยทำให้ทีมของพวกเขาเป็นหนึ่งไม่มีสอง เวลานั้นเริ่มชัดเจนว่า บาร์ซาพึ่งพา MSN อย่างมาก
เหมือนทุกเรื่องบนโลก ที่เรื่องดีๆ นั้นย่อมมีวันจบ สำหรับ MSN ก็เช่นกัน เมื่อบาร์ซากลายเป็นทีมที่มีเกมรุกระดับเวิลด์คลาส แต่เกมรับในระดับเวิลด์แก๊ส
ในฤดูกาล 2016/17 เป็นเนย์มาร์ที่ก้าวมาเป็นพระเอกของทีมบ้าง โดยเฉพาะเกมแห่งประวัติศาสตร์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดการคัมแบ็กของโลกลูกหนัง เมื่อบาร์ซาซึ่งแพ้ต่อปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือเปแอสเช มา 0-4 ที่พาร์ก เดส์ แพรงซ์ สามารถโกงความตายกลับมาผ่านเข้ารอบได้อย่างเหลือเชื่อในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย
หลังจบเกมนัดแรก หลุยส์ เอ็นริเก บอกว่า “ถ้าพวกเขายิงได้ 4 เราก็ยิงได้ 6”
เมื่อถึงคราวกลับมาเล่นที่คัมป์นู บาร์ซานำอยู่ 3-1 เมื่อถึงนาทีที่ 88 ซึ่งพวกเขาต้องการอีก 3 ประตูในการจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้ (ผลต่างประตูรวม ณ เวลานั้นคือเปแอสเชนำ 5-3)
แต่แล้วเนย์มาร์ก็จุดประกายความหวังให้ทีมและแฟนบาร์ซาทั่วโลกด้วยการปั่นฟรีคิกเข้าไปให้ทีมนำ 4-1 ก่อนที่จะเรียกจุดโทษและเป็นผู้สังหารเองในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
สถานการณ์ตอนนั้นคือ บาร์ซาต้องการอีกประตูเดียว และพวกเขาเริ่มเชื่อแล้วว่าพวกเขาจะทำได้ ซึ่ง MSN ก็ทำได้จริงๆ เมื่อเนย์มาร์คราวนี้เปลี่ยนจากคนทำประตูมาเป็นคนที่เปิดบอลให้ เซร์จี โรเบร์โต ทำประตู 6-1 ที่ทำให้ทีมพลิกสถานการณ์ ผ่านเข้ารอบได้อย่างน่าเหลือเชื่อที่สุด
เกมนัดนั้นถูกจดจำว่าเป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดครั้งสุดท้ายของสามประสาน เพราะหลังจากนั้นบาร์ซาพ่ายต่อยูเวนตุสในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่ MSN จะเล่นร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายในเกมโกปา เดล เรย์ ที่เอาชนะเดปอร์ติโบ อลาเบส ได้ไม่ยาก
ก่อนที่เนย์มาร์จะตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต ด้วยการขอย้ายออกจากบาร์ซา เพื่อหนีให้พ้นเงาของเมสซี ในช่วงฤดูร้อนของปี 2017 โดยไปร่วมทีมเปแอสเช ด้วยสถิติโลก 222 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นจุดจบของ MSN รวมถึงเป็นการเริ่มต้นยุคเสื่อมถอยของบาร์เซโลนาที่ส่งผลต่อมาจนถึงปัจจุบัน
และวันนี้ที่ซัวเรซอำลาจากทีมไป ทำให้บาร์ซาเหลือเพียงแค่เมสซีคนเดียว โดยที่ราชาลูกหนังจะอยู่กับทีมอีกแค่จนจบฤดูกาลนี้เท่านั้น หากไม่มีการเปลี่ยนใจไปก่อน
อย่างไรก็ดี แม้ความมหัศจรรย์ของ MSN จะอยู่กับบาร์ซาและวงการฟุตบอลเพียงแค่ 3 ฤดูกาล แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำสำหรับแฟนฟุตบอล ที่ครั้งหนึ่งโลกลูกหนังเคยได้เห็น 3 นักเตะที่เก่งกาจที่สุดเล่นเคียงข้างกัน
โดยที่ไม่รู้จะมีวันได้เห็นอะไรแบบนี้อีกไหม
ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2016/12/15/football/neymar-barcelona-messi-suarez/index.html
- https://barcauniversal.com/messi-suarez-and-neymar-the-msn-tridents/
- https://barcauniversal.com/the-iconic-2014-15-season-of-dreams-for-barcelona/
- https://www.beinsports.com/us/laliga/video/suarez-joins-atletico-barcas-msn-in-numbers/1549845
- https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-4753622/Lionel-Messi-Luis-Suarez-Neymar-stats-Barcelona.html